มันอาจจะเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน รวมถึงผมด้วยนะครับ กับการได้เป็นนักเรียนนอกดูสักครั้ง ใช้ชีวิตเพียงลำพังในประเทศที่ไม่มีใครรู้จักสักคน ดิ้นรนบนลำแข้งตัวเอง ได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมอื่นในโลกนี้ นอกจากถิ่นเกิดดูบ้าง
สำหรับผมแล้ว ความฝันอันนี้ส่อแววที่จะเป็นได้เพียงฝันอยู่อย่างนั้น เพราะครอบครัวผมไม่มีเงินมากพอจะส่งผมเรียนเมืองนอกได้ ยิ่งประเทศเป้าหมายผมคืออเมริกาที่ค่าใช้จ่ายแพงหูตูบด้วยแล้ว ยิ่งแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่แสงสว่างก็เริ่มรำไรที่ปลายถ้ำ เมื่อผมเห็นหลายต่อหลายคน สามารถไปใช้ชีวิตนักเรียนนอกได้โดยไม่รบกวนที่บ้าน ทำงานในร้านอาหารเพื่อหาเงินจ่ายค่าเทอม ส่งตัวเองเรียนได้ และนั่นก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ผลักให้ผมไสหัวมาเรียนต่อที่อเมริกาอยู่นี่
“ก็ในเมื่อคนอื่นทำได้ สองมือสองตีนก็มีเท่ากัน ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ฟระ!”
ผมจึงตัดสินใจเดินตามความฝัน ผันตัวเองมาเป็นนักเรียนนอก ด้วยวิธีการส่งเสียตัวเอง โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่า ผมจะตั้งคำถามนี้ในอีกสองปีให้หลังว่า “ทำงานส่งเสียตัวเองเรียนเมืองนอก คิดถูกหรือผิด?”
…
ตอนนี้ผมคิดว่า
การเป็น “นักเรียน” เป้าหมายหลักที่สำคัญคือ
“เรียนรู้” เพื่อ “พัฒนา” ตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ยิ่งเป็นการเรียนในเมืองนอกด้วยแล้ว นอกจากเนื้อหาในวิชาที่เรียนแล้ว สิ่งที่จะต้องพัฒนาควบคู่กันไปก็คือ “ภาษา” ไม่งั้นก็จะดูไร้ค่าที่อุตส่าห์บินมาเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แต่เก่งภาษาสู้คนที่ฝึกอยู่ที่เมืองไทยไม่ได้
และการมาร่ำเรียนในบ้านเมืองคนอื่น ในฐานะ International Student นั้น จะต้องเสียค่าเทอมแพงกว่าคนในประเทศเท่าตัว อย่างที่ Brookhaven College ณ Dallas, TX ที่ผมเรียนอยู่นี้ อเมริกันชนจ่ายกันอยู่เทอมนึงราว ๆ $800 แต่นักเรียนกะเหรี่ยงอย่างผม จ่ายราว ๆ $1,800 (College ที่ผมเรียนจัดว่าถูกแล้วครับ ถ้าเป็น University ค่าเทอมกะเหรี่ยงอย่างต่ำ $6,000)
ปัญหาก็คือ การมาเรียนต่อด้วยวีซ่านักเรียน (F-1 visa) แบบนี้ ไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่พอจะทำได้ก็คือ ทำงานในโรงเรียนซึ่งค่าแรงถูกมาก ชั่วโมงละราว ๆ $7-$8 เท่านั้น นักเรียนไทยที่จะส่งเสียตัวเองเรียน จึงต้องแอบทำงานในร้านอาหารไทยอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเป็นที่เดียวที่จะสามารถทำงานได้เงินในอัตราที่สูงได้ โดยไม่ต้องมีวีซ่าทำงาน
…
“เรียน vs. ทำงาน”
ทั้งสองกิจกรรมต่างก็ต้องการ “เวลา” เป็นตัวแปรสำคัญ
การเรียน อาจจะไม่ได้จบลงแค่ในห้องเรียน ไหนจะการบ้าน ไหนจะ project ต่าง ๆ นา ๆ
การทำงาน ก็อาจจะไม่ได้จบลงแค่ในชั่วโมงทำงานเช่นกัน เพราะเหนื่อย ๆ กลับมา เราก็ต้องการพักผ่อน
ทำงานมากไป – ไม่มีเวลาพัฒนาตัวเอง
ทำงานน้อยไป – ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม
แต่นักเรียนนอกที่ส่งเสียตัวเองเรียนอย่างผม ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำงานให้มากพอ ที่จะมีเงินไว้จ่ายค่าเทอม ซึ่งนั่นหมายความว่า ต้องแลกกับเวลาในการพัฒนาตัวเอง ไปอย่างไม่มีข้อแม้
และค่าใช้จ่ายในชีวิตจริง มันไม่ได้มีแค่ค่าเทอมเท่านั้น
ยังมีค่าเช่าบ้าน
ค่าน้ำไฟ ค่ากิน ค่าอยู่
ค่านำ้มัน ประกันรถ ประกันสุขภาพ
และอีกมากมายที่แอบซ่อนอยู่อย่าง ค่าซ่อมรถ ค่าปรับจากใบสั่ง ฯลฯ
ลองคิดดูสิครับว่า เราต้องเสียเวลาในการพัฒนาตัวเองมากมายเท่าไร ไปกับการทำงานในร้านอาหารเพื่อแลกกับเงินมากมายขนาดนี้? เดินเสิร์ฟขาขวิด นั่งบิดพวงมาลัยไปส่งอาหารงก ๆ หาเงินมาแทบตายกว่าจะได้แต่ละ $100 หักค่าใช้จ่าย เหลือเก็บเดือนละ $700 ก็เก่งแล้ว พอเริ่มเก็บเงินได้เป็นก้อน ก็ถึงเวลาจ่ายค่าเทอมที่แพงสองเท่า ตูมเดียวเงินหลายพันดอลล่าห์ก็หายวับไปกับตา ราวกับความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานที่ผ่านมาไม่มีตัวตน
นี่เรากำลังเสียเงินมากสองเท่า เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่ามาเรียนเมืองนอกเท่านั้น ซึ่งผมก็อยากจะบอกเหลือเกินว่า คนที่เรียนจบต่างประเทศไม่ได้เป็นผู้วิเศษเสมอไป เด็กจบนอกที่ attitude แย่ ๆ นิสัยและสันดานเลว ๆ ก็มีถม มันเป็นแค่เพียงค่านิยมผิด ๆ ของคนไทย ที่ยกยอปอปั้น ยกย่องเชิดชูกันมากเกินไป กับคนที่มีปัญญานั่งเรือบินไปเมืองนอกเมืองนาแค่นั้นเอง ประสบการณ์ต่างแดนกับภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีส่วนช่วยขัดเกลาฝีมือหรือจิตใจคนเราสักเท่าไรหรอกครับ หากรากฐานและเสาตอม่อที่ลงไว้มันคุณภาพมันต่ำมาอยู่แล้ว
ผมสรุปเลยละกันครับว่า การทำงานร้านอาหารส่งเสียตัวเองเรียนเมืองนอกนั้น
“ได้ไม่คุ้มเสีย”
เพราะในฐานะ “นักเรียนนอก” เราควรจะใช้เวลานอกเหนือจากห้องเรียน เพื่อการทบทวนเนื้อหา เพิ่มพูนวิชา หรือฝึกทักษะภาษาอังกฤษ โดยมีตัวช่วยคือเพื่อนและครูบาอาจารย์เจ้าของภาษามากมาย รวมถึงประสบการณ์อันล้ำค่าต่างแดนจากกิจกรรมอื่นนอกห้องเรียน เช่น เข้าร่วมชมรมต่าง ๆ หรือไปเป็นอาสาสมัครทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย บางครั้งก็ได้ออกไปทำงานเพื่อชุมชน ได้ทั้งเพื่อน ทั้งภาษาและได้ทำประโยชน์ให้สังคม สิ่งเหล่านี้ต่างหากครับ ที่นักเรียนนอกควรจะทำ มากกว่าการรีบแจ้นออกจากโรงเรียน เพื่อไปเข้างานในร้านอาหารให้ทัน แล้วชีวิตก็มีแต่โรงเรียนกับร้านอาหาร มีแต่เพื่อนคนไทย พูดภาษาไทย ไม่มีเพื่อนให้สปีคอิงลิชเลยสักนิด
…
ไม่ใช่ว่าทำงานร้านอาหารไม่ดีนะครับ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก มีอะไรให้เก็บเกี่ยวจากในร้านอาหารอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่มัน “ไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา” ครับ
ถ้าจะทำงานระหว่างเรียน ควรจะทำแค่เล็กน้อยพอเป็นกระษัยก็พอ ตะบี้ตะบันทำแหลกลาญ มันเสียเวลาอันมีค่ามหาศาลที่ควรจะเอาไปพัฒนาตัวเองมากกว่า
ไม่งั้นอาจจะเป็นเหมือนผม มาเรียนตั้งสองปีแล้ว ภาษาก็ยังแค่งู ๆ ปลา ๆ แถมในเนื้อหาวิชาที่เรียนก็ไม่ได้เก่งอะไรขึ้นมามากมาย ที่มันยังพอจะทำเกรดดีอยู่ได้ เพราะบุญเก่าที่เชี่ยวชาญในเรื่องงาน design อยู่แล้วเท่านั้นเองครับ วิชาไหนใช้บุญเก่าไม่ได้ อย่างเช่น History of Art นี่ เกรดบรมห่วย เพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือเท่าที่ควร หนำซ้ำศัพท์ต่าง ๆ ที่ควรจะต้องรู้หลังเรียนวิชานั้นจบ ก็ไม่ได้เข้าหัวเลย เพราะไม่มีใช้เวลาศึกษามันอย่างเพียงพอนั่นเอง
ดังนั้น ถ้าเลือกได้ อย่าทำงานส่งตัวเองเรียนเมืองนอกเลยครับ ต้องสูญเวลามหาศาลเหน็ดเหนื่อยทำงานเพื่อจ่ายค่าเทอมแพงเป็นสองเท่า
หนทางที่ดีที่สุดคือ “เป็นนักเรียนทุน”
ขอทุนมาให้ได้ดีกว่าครับ จะทุน ก.พ. หรือ พ.ก. ก็ดีกว่าทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องมาทำงานงก ๆ หาเงินส่งตัวเองเรียน เอาเวลาที่มีไป enjoy ชีวิตในต่างแดน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่บ้านเราไม่มีกลับไปให้เต็มที่ ชีวิตเมืองนอก มันไม่ได้มีแค่ร้านอาหารกับโรงเรียน ต่างแดนมีอะไรให้เรียนรู้มากมาย ดีกว่าการเอาเวลาไปนั่งทำงานในร้านอาหารเยอะครับ
…
เว้นเสียแต่ว่า ข้อจำกัดมันมีแค่เงินจริง ๆ ส่วนหัวใจมันบินไปไกลตั้งนานแล้ว ร่างกายมันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา ที่จะทำให้ร่างกายสามารถเดินตามหัวใจไปถึงฝั่งฝันได้
ก็มาเถอะครับ
ถึงแม้เราจะต้องยอมแลกเวลาในการพัฒนาตัวเอง ไปกับการทำงานหาเงิน แต่ประสบการณ์ต่างแดนในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ มีความเติบโตทางความคิดและทัศนคติ มันก็ยังคงคุ้มค่าที่จะมาเรียนรู้ มาศึกษาว่าทำไม เพราะอะไร ฝรั่งเค้าถึงเป็นมหาอำนาจ ทำไมประเทศเค้าถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าชีวิตอันราคาแสนถูกของคนไทย ที่จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ จากคนเมาเหล้าขับรถ เมายาบ้าไล่ฆ่า หรือวันดีคืนดีก็มีกระสุนหล่นจากฟ้ามาเจาะกบาลคน
…
เพราะในการเดินทางตามฝัน
จะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น
บางทีมันก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการได้ “ลงมือทำ” เลยสักนิดเดียว
🙂
ขอแชร์ซะหน่อยนะฮาฟฟฟฟ
ขอบคุณที่ช่วยแชร์ฮ๊าฟฟฟฟฟฟ ^^
คนที่เรียนจบต่างประเทศไม่ได้เป็นผู้วิเศษเสมอไป เด็กจบนอกที่ attitude แย่ ๆ นิสัยและสันดานเลว ๆ ก็มีถม มันเป็นแค่เพียงค่านิยมผิด ๆ ของคนไทย ที่ยกยอปอปั้น ยกย่องเชิดชูกันมากเกินไป กับคนที่มีปัญญานั่งเรือบินไปเมืองนอกเมืองนาแค่นั้นเอง ประสบการณ์ต่างแดนกับภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีส่วนช่วยขัดเกลาฝีมือหรือจิตใจคนเราสักเท่าไรหรอกครับ หากรากฐานและเสาตอม่อที่ลงไว้มันคุณภาพมันต่ำมาอยู่แล้ว —- Really like this message of you!! It’s so true. I have been there too. Went to US and thought things would be nice, and people would be nice and smart because to be able to go there for study, they must have been smart enough to get accepted… Actually they were not… Some of them could not even study or graduate from some universities in Thailand, where are much much easier… They had money… so what!! Finally, I knew that they didn’t even study and do their assignments themselves, but they asked their girlfriend or boyfriend to do, and them they graduated with the certificate… nobody would even know that they didn’t deserve it… And even coming back to Thailand with the unfinished program, but told everyone that they already graduated… Thanks so much for the good article ka 🙂
เป็นค่านิยมผิดๆ ของคนในสังคมไทยที่มองฝรั่งเป็นพระเจ้าในทุกด้าน พอมีเงินรวยเข่าหน่อย ก็จะส่งลูกไปเรียนเมืองฝรั่ง เพื่อโออวดหรือพยายามคว้าสิงที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นมาตรฐานฝรั่ง ไม่ใช่มาตรฐานไทยไปเสีย ประเทศญี่ปุ่นก็เจริญมาก มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง มีห้องส้วมเลิศกว่าฝรั่ง แต่คนเอเซียดูถูกกันเอง เลยไม่คิดส่งลูกไปเรียนญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ภาษาญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการมากสุด และมากกว่าภาษาอังกฤษในตลาดแรงงานไทย
เรียนเมืองนอกเกิดจากลัทธิบูชาฝรั่งอย่างไม่มีสติ นอกจากเสียเงินแพงแล้ว ยังไม่คุ้มเพราะพอเรียนจบ ก็ยากที่จะหางานที่สามารถคุ้มทุนที่ต้องเสียไป ที่สำคัญการเอาตัวเองไปต่างประเทศจะทำให้ตัวเองไม่อยู่ใกล้ชิดตลาดแรงงานในไทย ทำให้เสียโอกาสในการหางานในไทย
ฝรั่งไม่เจริญกว่าญี่ปุ่น และฝรั่งเจริญกว่าไทยในด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้นไม่ใช่ด้านอื่นๆ เช่น วิชาความรู้ฝรั่งด้านการบริหารธุริกิจ บัญชี การเงิน รัฐศาสตร์ และศิลปะไม่ได้สูงกว่าไทย แต่พวกลูกคนมีตังส์กลับดิ้นรนจะต้องไปอเมริกแล้วเรียนต่อในด้านนี้ซึงไทยเราก็เก่งอยู่แล้ว เรียกว่าเรียนจบจุฬากะธรรมศาสตร์ยังสู้มหาลัยห้องแถวในอเมริกาไม่ได้ ผู้หญิงไทยบางคนยังเชื่อว่าผู้ชายฝรั่งดีกว่าผู้ชายไทยที่มีหน้าตาเหมือนพ่อตัวเอง อาณานิคมฝรั่งนะจบไปแล้ว แต่คนไทยเป็นหนึ่งในคนเอเซียที่ยังเหยียดดูถูกชาติพันธ์ตัวเอง ญี่ปุ่นมีรถไฟวิ่งเร็วที่สุดในโลก แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ส่งคนไปเรียนญี่ปุน กลับส่งคนไปเรียนอเมริกาที่ไม่มีระบบการรถไฟดีกว่าญี่ปุ่นเลย
ค่านิยมเรียนเมืองฝรั่งเรื่องจริงเป็นผลมาจากจิตใจของคนในสังคมไทยที่มองฝรั่งเป็นพระเจ้าไปหมด ไม่ได้ใช่วิจารณญาณแยกแยะ ไปเรียนเมืองนอกนอกจากจะแพงแล้ว บางสาขาวิชาก็ไม่ได้ดีกว่าไทย ไทยรบชนะฝรั่งเศสไม่เป็นเมืองขึนฝรั่งแต่หลายคนก็ยังไปเรียนวิชารัฐศาสตร์จากเมืองฝรั่งอีก
ในตลาดแรงงานไทย เอาเข้าจริงต้องการล่ามและนักแปลภาษาญี่ปุ่นมากสุด ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพราะกิจการต่างชาติในไทยเป็นคนเอเซียด้วยกันมากกว่าครึ่งหนึ่ง
Lip Dip Dip Formula Light Sensational Liquid Matte Pack
Lip dip dipped in the most light, comfortable, tight, clear color in the form of a sachet ( ลิปซอง ) . https://www.maybelline.co.th/makeup-product-reviews/maybelline-lip-sachet-review