Conspiracy หรือ ทฤษฎีสมคบคิดนั้น …
มักจะสำแดงพิสูจน์ชัดแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่มีความน่าตื่นเต้นตรงที่การเชื่อมโยงปัจจัยต่าง ๆ มักเป็นเหตุเป็นผลอย่างลงตัวจนเราอยากจะ “เชื่อ” เพราะมันเหมือนได้ล่วงรู้ความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ หรือได้คำตอบที่การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ให้เราไม่ได้
Conspiracy เรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่ ผมชอบมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นเราก็แค่คิดว่า จานบินก็เหมือนเครื่องบิน แค่เป็นวิทยาการที่ล้ำหน้ากว่ามาก ๆ
แต่พอมาศึกษาจริงจัง เข้าไปฟังจากหลาย ๆ คนในหลาย ๆ Community กลับพบว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Evolution ของ Living Being ต่างมิติกับเรา และมี Story ที่น่าสนใจระดับที่นิยาย Sci-fi ยังชิดซ้าย
จริง ๆ ต้องบอกว่า นิยายหลายเรื่องเอาเรื่องจริงมาตีแผ่ด้วยซ้ำ (เช่น Starwars, Interstella, The Matrix, Eternals, etc.) แต่ Conscious เรายังเข้าใจเรื่องมิติไม่ได้ขนาดนั้น เลยมองว่ามันเป็นเพียงหนังที่สร้างจากจินตนาการ
บทความนี้ ผมจะพยายามสรุปข้อมูลล้านแปดในหัว (ซึ่งยังเข้าใจไม่กระจ่างแจ้งด้วย) ออกมาให้เสพง่ายที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นกระบวนการตกผลึกของผมด้วยเช่นกัน อาจจะไม่สมบูรณ์แบบหรือมี Info ผิดเพี๊ยนไปบ้าง เอาเป็นว่าอ่านเพื่อความบันเทิงเหมือนอ่านนิยายก่อนละกันนะครับ
มิติ (Dimension) และคลื่นความถี่ (Frequency)
• โลกเรามีหลายมิติซ้อนทับกันอยู่ เหมือนคลื่นวิทยุที่มีหลากหลายความถี่ซ้อนทับอยู่ ณ ที่เดียวกัน เราจึงฟัง FM95 กับ จส.100 ได้แค่เปลี่ยนการรับคลื่นความถี่ แต่ไม่ต้องย้ายวิทยุไปไหน
• ไม่ใช่ทุกมิติจะรับรู้กันและกันหรือมองเห็นกันได้ อย่างปีกแมลง ตอนมันขยับที่ความถี่สูงมาก ๆ ตาจนเกินขอบเขตที่ตาเราจะมองได้ทัน เราก็จะเห็นว่าปีกแมลงมันหายไป อุปมาเช่นนี้เพื่อจะทำให้เข้าใจว่า เรามองไม่เห็นมิติที่คลื่นความถี่สูงกว่า
• มนุษย์เราเป็น Being ในมิติที่ 3 และมีร่างเนื้อ
• เราจึงมองไม่เห็น Being ในมิติที่ 4, 5 และสูงขึ้นไป ซึ่งเขาเป็น Being ที่ไม่มีร่างเนื้อแบบเรา และตั้งแต่มิติที่ 5 ขึ้นไปนั้นจะเป็น Light Being อยู่ในรูปของแสง
• Being ในมิติที่ต่ำกว่าเรา ตอนนี้ผมก็ยังไม่เคลียร์นักนะ แต่เข้าใจว่าคือพวกสัตว์อื่น ๆ อย่างสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้ขีวิตตามสัญชาติญาณเป็นหลัก ไม่มีสมองทรงภูมิปัญญาแบบมนุษย์ สมสู่กันได้แม้เป็นพ่อแม่ลูกกัน
• การแยกมิตินี่ อีกนัยนึงมันก็แยกขีดจำกัดความสามารถของ Being นั้น ๆ อย่างหมามันคงไม่เข้าใจว่ามนุษย์สร้างเครื่องยนต์ขึ้นมาได้ไง มันคงมองเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามีเทคโนโลยีล้ำหน้า
• เช่นกันกับที่เราอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติที่ 4 และสูงขึ้นไป
• โดยเฉพาะเรื่อง “เวลา” ที่ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ตั้งแต่มิติที่ 5 เป็นต้นไป จะ “ไม่มีเวลา” นั่นคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ที่เดียวกันหมด
• เนี่ย พูดแบบนี้เราก็นึกภาพไม่ออกหรอก เหมือนที่เราดูฉากสุดท้ายใน Interstella แล้วมึน ๆ น่ะ นั่นน่าจะเป็นการพยายามอธิบายมิติที่ 5 เลยแหละ ซึ่งก็ไม่แปลกที่เราจะไม่เข้าใจ เพราะเราอยู่ในมิติที่ 3 ซึ่งผมกำลังคิดว่า เรื่องพวกนี้แหละที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า “อจิณไตย” เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในมิติที่ 3
• Being มิติที่ 4 ผมเข้าใจว่าคือ ภูติ ผี วิญญาณ เทพ เทวดา พวกนี้ไม่มีร่างเนื้อแบบเรา แต่หากมนุษย์บางคนมีคลื่นความถี่จิตที่สูงจนรับรู้มิติที่ 4 ได้ เขาจึงเห็น และสื่อสารกับ Being ในมิติที่ 4 ได้ เกิดเป็นเรื่องเล่า ผีสางนางไม้ เทพ เทวดาต่าง ๆ พญานาค พญาครุฑมากมาย พอเอามาเล่าต่อให้ชาวบ้านที่เขามองไม่เห็นฟังเข้าใจง่าย ๆ ก็เรียกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป
• มิติที่ 5 เป็นต้นไป นี่คือ Being ที่คลื่นความถี่สูงจนไร้ซึ่งอารมณ์โกรธ โลภ กลัว เหล่านี้ อันเป็นเป็นพลังงานคลื่นความถี่ต่ำ Being ในมิติที่ 5 เป็นพลังงานบริสุทธิ์ความถี่สูงที่ตรงข้ามกับความกลัว นั่นคือ Unconditional Love ไม่ใช่รักแบบหนุ่มสาว รักแบบพ่อแม่ แต่เป็นรักแบบที่ทุกคนเท่ากันเลย
• มิติทั้งหมดมี 12 มิติ และมีการระบุว่า มิติที่ 12 คือนิพพาน เมื่อเราเข้าสู่มิตินี้แล้ว เราจะไม่กลับลงมามิติที่ต่ำกว่าอีก
• หรือว่าที่พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ไว้ แต่ละชั้นมีรูปแบบและลักษณะอย่างไร สวรรค์บางชั้นเวลาเดินช้า บางชั้นไม่มีกาลเวลา มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันกับมิติเหล่านี้ก็ได้นะ
ATMA ตัวตนที่แท้จริงของเราในมิติที่ 5
• ATMA หรือตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้อยู่ในมิติที่ 3 แท้จริงเราก็เป็นชาวแสง (Light Being) อยู่ในมิติที่ 5 ที่อวตารลงมาในมิติที่ 3, 4 เพื่อเหตุผลบางอย่าง (บ้างก็บอกว่าเราถูกขังเป็นทาสในร่างเนื้อ บ้างก็ว่าเราแค่เล่นเกม เราท้าทายตัวเองด้วยการลบความจำแล้วลงมาเล่นเกมคลื่นความถี่ต่ำอย่างความโลภ ความกลัว)
• ในมิติที่ 3, 4 นี้ จะมีเทคโนโลยีที่ควบคุมจิตเราไว้อีกที ไม่ให้คลื่นความถี่ขึ้นไปสูงระดับมิติที่ 5 ได้ เพราะเราจะกลับเข้า ATMA ของเราได้ และรู้หมดว่าแท้จริงเราคือใคร เราเคยอวตารลงมายังมิติที่ต่ำกว่า 5 นี้กี่ครั้ง ที่ดาวดวงไหนบ้าง ทุกอย่างบันทึกไว้หมดใน ATMA ผมฟังแล้วร้องอ๋อ อันนี้นี่เองระบบการทำงานของการระลึกชาติ
• เทคโนโลยีที่ควบคุมจิตเราไว้ ถูกอธิบายไว้แล้วในเรื่อง The Matrix ประมาณว่า ATMA ตัวตนเราเสียบปลั๊กเชื่อมต่อกับร่างเนื้อนี้อยู่ และโลกก็เป็นสนามทดลองที่สร้างจากโฮโลแกรมขนาดใหญ่ โดยที่เราถูกกดความสามารถที่แท้จริงของ Light Being ไว้ เช่น ภูมิปัญญาระดับสูง, การโทรจิต, พลังดึงดูดสิ่งที่ต้องการ, ความทรงจำทุกภพชาติที่เราเคยอวตารลงมาใน Matrix ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มี Bug บางคนจึงสามารถเข้าถึงภูมิปัญญาระดับสูงได้ คิดค้นเทคโนโลยีอย่างเครื่องบิน, ไฟฟ้า, นิวเคลียร์, ออกแบบเกมการเงิน, ใช้กฎแรงดึงดูดได้, โทรจิตได้ หรือสามารถระลึกชาติได้
เราทุกคนคือมนุษย์ต่างดาว
• มนุษย์ไม่ใช่ร่างเนื้อแรกที่ถูกสร้างขึ้น เราไม่ได้กำเนิดขึ้นเองบนโลกใบนี้ แต่เราถูกสร้างจาก DNA ของมนุษย์จากดาวดวงอื่น ๆ มากมายมาผสมกัน ร่างเนื้อทดลองก่อนหน้าเราที่ไม่ประสบความสำเร็จและถูก Reset ทิ้งไปก็คือไดโนเสาร์ แต่มนุษย์โลกปัจจุบันถือเป็นร่างทดลองที่ประสบผลสำเร็จ จะไม่มีการ Reset แบบไดโนเสาร์อีกแล้ว
• ผมไม่รู้ว่าหน่วยวัดความสำเร็จคืออะไรนะ แต่เดาว่าอารมณ์น่าจะคล้าย ๆ กับที่เราสร้าง AI มาแล้วปล่อยให้มันเรียนรู้เอง ใช้ชีวิตเอง โดยเราเฝ้ามองมัน ถ้าดูทรงแล้วไม่เวิร์คเราก็ลบทิ้งหมดแล้วเริ่มใหม่ (คล้ายซีรีส์ West World เหมือนกันแฮะ) แต่ถ้าเราพบว่า AI มันเริ่มฉลาดจนสร้างสังคมเองได้ ออกกฎหมายมาใช้กันเองได้ เริ่มส่งต่อความรู้ความสามารถกันรุ่นสู่รุ่นได้ เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ ที่ผู้สร้างคาดไม่ถึงมากขึ้น มันคงสนุกที่จะปล่อยให้เขาเติบโต แล้วเฝ้าดูต่อไปว่ามันจะพัฒนาไปถึงไหน
• โครงเรื่องทั้งหมดที่ผมสรุปมานี้ มันอธิบายได้นะว่าทำไมคนที่ฝึกจิตมาก ๆ จนความถี่สูงเข้ามิติที่ 4 ก็จะมองเห็นกายเนื้อและจิตแยกกัน สภาวะนี้แหละคือการถอตจิตได้ แวปไปอีกฝั่งของโลกได้ในพริบตา ท่องไปนอกโลกก็ทำได้ มองเห็นภูติผีเทวดาในมิติที่ 4 ได้ และถ้าพัฒนาจน Access ข้อมูลใน ATMA ได้ ก็จะระลึกชาติได้ ทฤษฎีนี้มันอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ได้ทั้งหมด ถ้าเป็นเพียงเรื่องแต่งก็ต้องบอกว่ามัน Amazing มากจนอยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเลยเแหละ
• ในฟิสิกส์นิวตันฟันธงว่า วิญญาณ ภูติผีปีศาจ โลกหลังความตายไรพวกนี้ มันเป็นเพียงจินตนาการของสมองเท่านั้น เมื่อสมองตายทุกอย่างก็หายไปด้วย ไม่มีจริง แต่ในฟิสิกส์ควอนตัม ที่แม้จะเป็นฟิสิกส์เหมือนกัน แต่ศึกษาอนุภาคที่เล็กกว่ามากจนอาจเรียกได้ว่าศึกษาคนละมิติเลย เพิ่งเริ่มยอมรับว่า พลังจิตของคนเราอาจจะทำได้หลายสิ่งที่ฟิสิกส์นิวตันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ มิติต่าง ๆ รวมถึงโลกคู่ขนาน มัลติเวิร์ส มีความเป็นไปได้จริง แต่ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เราเข้าใจได้จากฟิสิกส์ควอนตัม ณ ตอนนี้ เทียบกันแล้วก็คงเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่พ้นน้ำมาเท่านั้น ซึ่งทฤษฎีมนุษย์ต่างดาวกล่าวอธิบายภูเขาน้ำแข็งทั้งก้อนไว้หมดแล้ว
โลกหลังความตายคือ Matrix
• อีกประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจมาก คือการอธิบายโลกหลังความตาย ว่าทำไมคนเอเชียกับฝรั่งที่เคยตายแล้วฟื้น จึงกลับมาเล่าถึงสภาพโลกหลังความตายไม่เหมือนกัน อย่างคนไทยตายไปเห็นมัจจุราชนุ่งโจงกระเบน ส่วนฝรั่งเห็นคนมีปีกมีวงแหวนบนหัว คนจีนก็เห็นอีกอย่างด้วยซ้ำไป
• ทฤษฏีมนุษย์ต่างดาวอธิบายว่า โลกหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิดก็ยังอยู่ในโปรแกรม Matrix อยู่ Being ในมิติที่ 4 ต่อให้เป็นระดับเทวดา ก็ยังไม่หลุดพ้น ยังกลับลงมาเกิดในร่างเนื้อได้อีก อาจลงมาเกิดเป็น Being มิติที่ 3 หรือต่ำกว่าก็ได้ ซึ่งการทำงานของ Matrix นี้ มันจะจำลองการรับรู้ของเราแบบที่เห็นในหนังเลย จะจำลองเป็นโรงฝึกก็ได้ เป็นพื้นที่ว่างเปล่าไกลสุดลูกหูลูกตาก็ได้ มันคือโฮโลแกรมที่สมจริงมากจนจิตเราแยกไม่ออกว่ามันของจริงหรือโฮโลแกรม
• เหมือนที่ Morpheus ถาม Neo ว่า “What is real? How you define real?” แล้วอธิบายต่อว่า ถ้า “Real” หมายถึงการจับไปแล้วรู้สึกว่ามี การที่โปรแกรม Matrix จะสร้างภาพโฮโลแกรมให้เราเห็น แล้วเมื่อเราจับไปที่โซฟา ก็สร้างสัญญาณไฟฟ้าไปบอกสมองให้เรารู้สึกว่ามีของแข็งอยู่ตรงนี้ นี่ก็กลายเป็น “Real” ได้เหมือนกัน โดยที่มันไม่ต้องมีอยู่จริง ๆ
• Matrix จะสร้างภาพโฮโลแกรมโลกหลังความตาย ตามที่จิตก่อนตายเราโปรแกรมข้อมูลไว้ ก่อนตายเรานับถือศาสนาอะไร เชื่อแบบไหน ตายไปจิตเราก็จะเห็น “Real” แบบนั้น ไปสวรรค์ เห็นวิมาน ไปนรก เห็นเปรต สิ่งเหล่านี้คือการทำงานของโปรแกรม Matrix ที่ครอบคลุมทั้งมิติที่ 3 และ 4 อยู่
มนุษย์ต่างดาวมิติที่ 4
• มนุษย์ต่างดาวส่วนมากเป็น Being ในมิติที่ 4 เขาอยู่ในคลื่นความถี่ที่สูงกว่าเรา เราจึงมองไม่เห็นเขา พวกเขามีหลายเผ่าพันธุ์เหมือนที่เรามีหลายเชื้อชาติ หน้าตาแปลกประหลาดเหมือนในนิยาย Sci-fi บางเรื่องเอาภาพจริง ๆ ของมนุษย์ต่างดาวมาทำเป็นหนังด้วยซ้ำ คนที่ตื่นรู้ Awaken แล้วเหล่านี้กำลังพยายามตีแผ่ความจริง แต่ต้องเล่าผ่าน Movie เพื่อไม่ให้คนช๊อค และตัวละครในวรรณคดีไทยอย่างครุฑ พญานาค ไรพวกนี้ ล้วนมีจริงหมด ก็เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งของ Being มิติที่ 4 นั่นเอง แต่มนุษย์ในอดีตที่สามารถมองเห็นได้ ก็จะตีความไปตามจินตนาการ อย่างพญาครุฑนี่ อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวเผ่าเดียวกับภาพวาดบนกำแพงอียิปต์ก็ได้ เทพเจ้าที่ตัวเป็นคนหัวเป็นนก ซึ่งเขาคือมนุษย์ต่างดาวชาว Anunaki เผ่านี้มีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์เรามาก
การหลุดพ้นจาก Matrix ทาส
• เรื่องทั้งหมดนี่อาจฟังดูเป็นแค่นิยายไร้สาระ แต่ประเด็นที่ผมชอบและคิดว่ามันมีประโยชน์ คือกลไกของการหลุดพ้นจาก Matrix โฮโลแกรมเหล่านี้ มีทางเดียวคือยกระดับความถี่ของจิตเราเข้าสู่มิติที่ 5
• วิธีการคือฝึกจิตให้ละวางอารมณ์ ทำจิตให้ Netrual วางเฉยต่อทุกสิ่ง ไม่ยีดโยงกับสิ่งใด พัฒนาจนสามารถเกิดสภาวะ Unconditional love ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ระดับมิติที่ 5 ได้ ซึ่งนี่มันก็หลักการเดียวกับการไปนิพพานชัด ๆ เขาบอกต้องทำแบบนี้เท่านั้น จึงจะเอาชนะเทคโนโลยี Implant ที่กดความทรงจำ กดความสามารถที่แท้จริงของเราไว้ได้ แล้วเมื่อจิตเรายกระดับขึ้นจนเชื่อมต่อกับ ATMA ตัวตนที่แท้จริงของเราในมิติที่ 5 ได้ เราก็จะเข้าใจทุกอย่าง ตรัสรู้ Enlightment ซึ่งทางพุทธก็เชื่อว่าคนเราทำได้ตั้งแต่อยู่ในร่างเนื้อเช่นกัน แล้วเมื่อเมื่อร่างเนื้อตาย จิตเราจะข้ามมิติเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่มิตินิพพาน
• ผมเลยเชื่อมโยงได้ว่า พระพุทธเจ้า เริ่มต้นก็คงเป็น Being มิติที่ 3 เหมือนเรา ๆ นี่แหละ แต่สามารถพัฒนาคลื่นความถี่จิตจนเข้าสู่ความถี่ในระดับมิติที่ 5 ได้ และเมื่อเข้าสู่ ATMA ได้ก็เข้าใจทุกสรรพสิ่ง ระลึกชาติได้เพราะเห็นความทรงจำในทุกการอวตารลงมา ตั้งแต่ครั้งแรก ๆ เข้าใจเรื่องของมิติทั้งหมด และอยากช่วยให้คนอื่นเข้าใจด้วยจะได้หลุดพ้น แต่อธิบายไม่ได้ เพราะมนุษย์เมื่อ 2,500 ปีก่อนคงไม่มีทางเข้าใจเรื่องมิติพวกนี้ได้ เลยสอนว่ามันเป็นอจิณไตย คือเกินขีดความสามารถเราจะเข้าใจมันได้ แล้วบายพาสบอกให้ไปสนใจปลายทางคือนิพพานเลย ไม่ต้องไปสนใจเรื่องระหว่างทาง ความสามารถต่าง ๆ ในมิติที่สูงกว่า 3 ไม่ว่าจะเป็นการเหาะเหินเดินอากาศ การวาร์ป การเทเลพาที เพราะสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นได้ หนำซ้ำหากไปหลงติดใจอยู่ในมิติที่ 4 วนเวียนอยู่แบบนั้น ก็ยังไม่หลุดพ้นจาก Matrix โฮโลแกรมอยู่ดี
• ลองนึกภาพตามดู หากเราค้นพบเรื่องนี้ในสมัยนั้น ยังไม่มีหนัง Hollywood ปูพื้นความเข้าใจ Fantasy ต่าง ๆ ยังไม่มีวิทยาการอะไร ยังไม่มีคำศัพท์อย่างมิติ ไม่มีคลื่น FM ให้อุปมา การจะคุยเรื่องนี้ให้มนุษย์มิติที่ 3 ทั่วโลกฟัง มันคงแทบเป็นไปไม่ได้ ทำได้ดีสุดแค่ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกแหละมั้ง แล้วมันดันเพี๊ยนมาเรื่อย ๆ หลังจากท่านตาย เพราะถูกปรับปรุงโดยลูกศิษย์ที่อาจจะไม่ได้เข้าใจมากพอ และแตกแขนงออกเป็นนิกายต่าง ๆ ตามจินตนาการของสมองคนอีก
• ความสนุกของทฤษฎีมนุษย์ต่างดาวยังไม่จบแค่นี้ ยังมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันไปอีกหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ อย่างทฤษฎีสมคมคิดเกมการเงินโลก (Monetary system) ที่ถูกควบคุมโดยองค์กรลับ Illuminati คอยชักใยอยู่เบื้อหลัง FED อีกที คอยบงการเกมการเมืองระหว่างประเทศ สงคราม ไปจนถึงการลดจำนวนประชากรโลก ที่มาในรูปแบบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ระเบิดนิวเคลียร์, โรคระบาด ฯลฯ เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้คือมนุษย์ต่างดาวทั้งสิ้น อำนาจล้นเหลือ เทคโนโลยีสูงกว่า และไม่มีความเห็นอกเห็นใจใด ๆ ในมนุษย์ เราอาจจะมองว่าทำไมเขาโหดร้ายได้ขนาดนั้น แต่เพราะมันเป็น Being คนละมิติกันเราคงไม่มีวันเข้าใจเขา ถ้าเทียบกันแล้ว ที่เราทำฟาร์ม Being ในมิติที่ต่ำกว่าเราเอาไว้กินเนื้อ (เช่น หมู, ไก่) หากพวกมันตั้งคำถามเป็น คงไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดมนุษย์จึงโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างไม่สามารถเข้าใจได้
• ก็ประมาณนี้นะครับ คนที่มาอ่านอะไรแบบนี้ครั้งแรกคงอึ้ง ทึ่ง แต่หวังว่าจะสนุก และได้ Foundation พื้นฐานไปศึกษาต่อยอดได้จากสื่อต่าง ๆ นะครับ หากก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้เลย ผมมั่นใจว่า ต่อไปคุณจะได้พบ Resource มากขึ้น เพราะคุณได้เปิดกล่องแพนโดร่าแล้วเรียบร้อย
• Let’s see how deep the rabbit hole goes.
Remark : เขียนครั้งแรก 6 ก.ค. 2565 ผมเองก็ยังใหม่มากกับเรื่องนี้ ฟังข้อมูลจาก Youtube มาหลาย ๆ ช่อง อ่านบทความมาจากหลาย ๆ แห่ง แล้วมาเขียนสรุปตามความเข้าใจตัวเอง อาจจะมีข้อมูลผิดเพี๊ยนหรือเติมความเข้าใจของตัวเองลงไปบ้าง หากในอนาคตผมมีความเข้าใจทฤษฎีนี้มากขึ้น จะกลับมา Edit เนื้อหาเพิ่มเติมครับ