เมื่อคืนนี้ผมกลับมาจากการนำสัมมนา รู้สึกเหนื่อยเพราะใช้พลังงานไปเยอะ แต่ได้ประกาศกับเพื่อนเอาไว้ว่า วันนี้เช้าจะตื่นมาวิ่ง จึงมีความกังวลว่า เช้าจะตื่นไหวเหรอฟระ ก่อนนอนผมจึงได้ทำการ Visualize จินตนาการว่า เช้านี้จะตื่นมาวิ่งแบบสดใส ไม่งัวเงีย ผมทำการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกไว้แบบนั้นก่อนนอน
ไม่น่าเชื่อว่า พอได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ผมก็สัมผัสภาพที่สร้างไว้ก่อนนอนได้ทันที ผมจึงลุกจากที่นอนได้โดยไม่กด Snooze นาฬิกาปลุกแล้วนอนต่ออย่างที่เคยเป็น แล้วก็เตรียมตัวออกไปวิ่งตามความตั้งใจ
ผมเริ่มวิ่งเพื่อออกกำลังกายอย่างจริงจังมาประมาณ ๑ ปี แต่เพราะเป้าหมายผมแค่ออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันเท่านั้น ผมก็เลยวิ่งแค่ ๕ กิโลเมตร พอแล้ว ไม่ได้สนใจการวิ่งระยะไกลนัก จนมาช่วงหลัง พอเริ่มศึกษาเทคนิคการวิ่งมากขึ้น ผมก็เริ่มสนใจว่า ความรู้สึกตอนวิ่งมาราธอน ๔๒ กิโลเมตรนั้นเป็นอย่างไร ผมจึงค่อย ๆ ขยับระยะทางเป็น ๖ กิโล ๘ กิโล มาเรื่อย ๆ โดยตั้งเป้าไว้ที่ ๑๐ กิโลก่อน แต่ผมก็ยังไม่เคยไปถึงได้เลย
โดยเฉพาะการวิ่งตอนเช้า ผมมีความเชื่อว่า มัน burn ไขมันออกดี เพราะเรายังไม่ได้กินข้าว ยังไม่ได้รับพลังงานใหม่เข้าไป ร่างกายจึงเอาไขมันสะสมออกมาใช้ แต่ในทางกลับกัน การยังไม่กินข้าว ก็ทำให้ร่างกายไม่มีแรง ไม่เหมือนการวิ่งตอนเย็น ผมรู้สึกว่ามีแรงวิ่งมากกว่า มีความทนทานมากกว่า ไปได้ไกลกว่า เป้าหมายในการวิ่งตอนเช้า จึงยังคงเป็น ๕ กิโล เพื่อเผาผลาญเท่านั้น กะว่าไว้วิ่งไกล ๑๐ กิโลตอนเย็นดีกว่า
วันนี้ผมวิ่งไปได้แค่ ๒ กิโล ก็มีอาการจุกแล้ว มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่า วิ่งตอนเช้า performance แย่กว่าตอนเย็นจริง ๆ ด้วย และพอนาฬิกาเตือน ๕ กิโล ก็รู้สึกว่า พอละ จะกลับละ
แต่พอนึกถึงคอร์สเมื่อคืนที่ผมเป็นคนสอนเอง ว่าบทสนทนาที่เราคุยกับตัวเองนั้น มันจะถูกสื่อสารไปยัง UCM (Unconscious Mind) แล้วเค้าจะสร้าง Imprint ประทับลงไปในจิตใต้สำนึกแบบนั้น ผมเลยตระหนักว่า สอนคนอื่นแล้วตัวเองก็ต้องทำได้สิ ผมเลยคิดใหม่ว่า ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ผมจะบอก UCM ผมว่าอะไรล่ะ? ผมอยากให้เค้า Yes, and More! เพื่อ Imprint ลงไปในร่างกายผมแบบไหนล่ะ?
ผมจึงเริ่ม Visualize ว่า ผมวิ่งอย่างมีความสุข เห็นกล้ามเนื้อหัวใจตัวเองมันค่อย ๆ สานตัวเองเพิ่มเส้นต่อเส้น หลอดเลือดยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อปอดแกร่งขึ้นเป็นมัด ๆ กล้ามเนื้อขากำลังพัฒนาขึ้น โตขึ้น แข็งแรงขึ้น ข้อเข่า ข้อเท้ารับน้ำหนักได้มากขึ้น ความคล่องตัวสูงขึ้น
การฝึกสร้างภาพในหัว เพื่อสื่อสารกับ UCM นั้นเป็นทักษะอีกแบบหนึ่งที่ฝึกกันได้ แรก ๆ ผมก็ไม่ชินหรอก แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าภาพมันชัดมาก รู้สึกว่ามันมีพลังงานวิ่งไหลไปตามอวัยวะส่วนที่เรากำลังนึกภาพจริง ๆ ทำให้อาการต่าง ๆ ทางร่างกายค่อย ๆ หายไป ความจุกไม่มีแล้ว มันลดระดับลงมาเหลือแค่หน่วง ๆ แทน แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการวิ่งต่อไปมากนัก
ผมรู้สึกตัวอีกที นาฬิกาก็สั่นเตือน ๙ กิโลแล้ว ผมนี่ตกใจมาก เฮ้ย! อีกแค่กิโลเดียวเองเหรอ ทำได้แน่นอน แล้วผมก็วิ่งไปด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับกำลังก้าวสู่โลกใบใหม่ โลกของการสร้างผลลัพธ์ในระดับที่เรายังไม่เคยไปถึงมาก่อน พลังงานมาเต็ม ความสุขมาเต็ม เพลงที่ฟังก็ไพเราะขึ้นอย่างน่าประหลาด
แล้วนาฬิกาก็เตือน ๑๐ กิโลเมตร เป็นครั้งแรกในชีวิตนักวิ่งของผม
ผมปล่อยให้ร่างกายจดจำความรู้สึกนี้ จดจำภาพอวัยวะทุกส่วนกำลังแข็งแรงขึ้น ผมปล่อยให้จิตวิ่งไปตามไหล่ แขน ปลายนิ้ว ลิ้นปี่ ขา ปลายเท้า เพื่อจดจำความรู้สึกทุกอณู แล้ว Celebrate กับมัน กำมือแล้ว Anchor แรง ๆ พูดเยสลั่นสวนรถไฟไม่อายใคร โยนสมอปักเพื่อให้ร่างกายจดจำ Moment นี้ไว้ เพื่อ Recall ความหอมหวนของความสำเร็จวันนี้ กลับมาเพื่อทำซ้ำในอนาคตให้ได้อีก นี่คือกระบวนการใช้การสื่อสาร (Internal communication) เพื่อตั้งโปรแกรมสมอง ตั้งโปรแกรมจิตใต้สำนึกตัวเอง ตามหลัก NLP (Neuro-Linguistic Programming)
และในขณะที่พิมพ์เล่าประสบการณ์นี้ ผมก็กำลังทำ AAR (After Action Review) เพื่อให้ UCM มันได้ลิ้มรสความสำเร็จทั้งหมดนี้อีกครั้ง สัมผัสประสบการณ์ #DoWhatYouCant ชัด ๆ อีกครั้ง จิตใต้สำนึกเรามันไม่รู้ว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนจินตนาการ ดังนั้น UCM ของผมมันได้มีประสบการณ์วิ่ง ๑๐ กิโลเมตรไปแล้วถึงสองครั้งในวันนี้
เริ่มเข้าใจแล้วว่า สภาวะในการดึงพลังแฝงมหาศาลในร่างกายออกมาแบบซุปเปอร์ไซย่านั้น มันหน้าตาประมาณไหน ผมเริ่มต้นวันนี้ด้วยประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ผมรู้เลยว่า หน้าตาของวันนี้ที่เหลือผมจะเป็นเช่นไร
แล้วคุณล่ะ จะเริ่มต้นวันใหม่ของคุณแบบไหน?
Cheers,
447 thoughts on “จากคนไม่ชอบวิ่ง สู่ 10k แรก ด้วย NLP”
Comments are closed.