๑๐ นาทีบำบัด
ขณะเดินจาก Walking street กลับโรงแรมที่พักบนเกาะหลีเป๊ะ ผมกับแฟนเดินไปคุยไปกับไกด์ของเรา
พอน้องไกด์ได้รู้ว่า ผมเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา, นักจิตวิทยาบำบัด จะเรียกอะไรก็ตามใจ แต่สรุปคือ คนที่ใช้การพูดคุยและกระบวนการบางอย่าง ทำให้อาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ในจิตใจมนุษย์หายไปได้ เช่น ความเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล กลัว ไปจนถึงอาการทางกาย ตั้งแต่นิสัย พฤติกรรมที่มักทำโดยไม่ตั้งใจ โรคภัยไข้เจ็บ การเจ็บป่วยต่าง ๆ น้องไกด์จึงได้ปรึกษาว่า ตัวเขาเองก็มีอาการเครียด นอนไม่หลับมาราว ๆ สามปีแล้ว
ผมเองไม่คิดจะรับเคสบำบัดขณะที่ตัวเองมาเที่ยวพักผ่อน แต่ก็รู้สึกว่าน่าจะให้ความรู้บางอย่าง เพื่อให้น้องสามารถไปต่อยอดฝึกฝน การสื่อสารภายใน (Inner conversation) ซึ่งนำไปสู่การบำบัดจิตใจได้ด้วยตัวเอง จึงพูดไปว่า ภายในเวลาสั้น ๆ ที่เราเดินกลับที่พักนี้ ผมจะบอกความลับจักรวาลเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ให้ เมื่อเราเข้าใจมันแล้วเราจะเป็นอิสระจากความเครียดทั้งปวง รวมถึงจะได้ทุกสิ่งที่เราต้องการด้วย ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี
ผมเริ่มอธิบายว่า จิตของมนุษย์เราแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ จิตรู้สำนึก (Conscious mind) และ จิตไร้สำนึก (Unconscious mind หรือมักรู้จักกันในชื่อ จิตใต้สำนึก)
จิตรู้สำนึก คือความคิด ที่ทำงานตอนเรามีสตินี่แหละ ตอนนี้กำลังเดินไปไหน พรุ่งนี้ตื่นมาจะทำอะไร ต้องพาลูกค้าไปเกาะไหนก่อนหลัง ถ้าฝนตกลมแรงจะทำยังไง นี่คืองานของ จิตรู้สำนึก
ส่วนสิ่งที่จิตไร้สำนึกทำคือ โหมดทำงานอัตโนมัติต่าง ๆ ในร่างกาย ที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องสั่งการ การย่อยอาหาร การหายใจ ซึ่งรวมถึงการตอบโต้โดยอัตโนมัติทั้งหลาย การสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บ อาการกลัวจนขนลุกขาสั่นเมื่อขึ้นที่สูง หรือแม้แต่มือที่พุ่งมาตบยุงที่กัดขณะที่เรากำลังหลับ พวกนี้จิตไร้สำนึกเป็นคนควบคุมดูแลทั้งหมด
ประเด็นสำคัญก็คือ เราสามารถตั้งโปรแกรมในจิตไร้สำนึกได้ และเราเคยตั้งโปรแกรมเอาไว้หลายอย่างมาตั้งแต่เด็กแล้ว โดยไม่รู้ตัว
โรคกลัวความสูง กลัวเลือด กลัวน้ำ ขี้ลืม ขี้โมโห เครียด ที่เป็นอาการอัตโนมัติ เกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้สั่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการตั้งโปรแกรมเอาไว้ในจิตไร้สำนึกทั้งหมด ส่วนมากเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีอารมณ์เชิงลบที่รุนแรง เช่น กลัว โกรธ เสียใจ จนจิตไร้สำนึกรับรู้ว่า ขณะนี้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย และในตอนนี้เอง หากเรามีการสรุปความบางอย่าง บทสรุปนั้นจะถูกฝังลงในจิตไร้สำนึก เพื่อปกป้องไม่ให้ร่างกายนี้ต้องกลับมาอยู่ในสภาวะอันตรายแบบนี้อีก
ยกตัวอย่าง คนที่กำลังจมน้ำ สำลักน้ำ หายใจไม่ออก ในขณะที่ความตายอยู่ห่างไปแค่เอื้อม จิตรู้สำนึกอาจจะสรุปความในเสี้ยววินาที ว่า “น้ำ” ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ขอจมน้ำอีกแล้ว จะไม่เข้าใกล้น้ำอีกแล้ว อะไรลักษณะนี้ และการสรุปความนี้ ถูกฝังลงในจิตไร้สำนึกทันที ผ่านอารมณ์ “กลัว” อันเป็นอารมณ์เชิงลบที่รุนแรง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเข้าใกล้น้ำ คน ๆ นี้จะรู้สึกกลัว ขนลุก อึดอัด โดยอัตโนมัติ ต้องรีบพาตัวเองให้ไกลจากน้ำ อาการถึงจะหายไป
ข่าวดีคือ เราสามารถถอนการติดตั้ง การสรุปความที่ผิดพลาด ที่เราเคยโปรแกรมลงไปในจิตไร้สำนึกโดยไม่ตั้งใจได้ และนี่ก็คืองานของนักจิตบำบัดนั่นเอง
ถึงตอนนี้น้องไกด์ก็รู้สึกทึ่ง กับการได้รู้จักการทำงานของจิตรู้สึกนึก และ จิตไร้สำนึก ซึ่งก็ไม่ต่างจากตัวผมเอง หรืออีกหลาย ๆ คน ในวันที่ได้รู้เรื่องนี้ครั้งแรก และเริ่มเข้าใจหลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา
ผมจึงเริ่มอธิบายเรื่อง การสื่อสารภายใน (Inner conversation) ระหว่างตัวเรา กับจิตไร้สำนึก เพื่อให้สามารถนำไปใช้จัดการความเครียดของตัวเองได้ทันทีคืนนี้เลย
การสื่อสารภายใน ทำงานเป็น ภาษาภาพ
ถ้าในจิตเรามีภาพใดชัด นึกถึงภาพใดบ่อย จิตไร้สำนึกจะเข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่เราปรารถนาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม จิตไร้สำนึกไม่มีการตัดสิน ว่าอะไรคือดีอะไรคือร้าย มันมีหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ทำสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เรานึกถึงบ่อย ๆ ให้เกิดขึ้นจริง
คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ตอนถูกถามว่าทำสิ่งนี้ได้ยังไง ก็มักเล่าว่า เขาตั้งเป้าหมายนี้มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ยังไม่มีเงิน ไม่มีทีม ไม่มีความรู้มากพอจะทำสิ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ภาพมันชัดมาก และไม่เคยละสายตาจากเป้าหมายเลยสักวัน ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่เคยหยุดที่จะเชื่อ ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง การสื่อสารที่ชัดและเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอย่างแรงกล้านี้เอง ที่ทำให้จิตไร้สำนึกรับรู้ว่าเราต้องการมันอย่างแท้จริง จึงเริ่มดึงดูดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับเราเพื่อจะทำสิ่งนั้นเข้ามาให้เรื่อย ๆ
และเช่นกัน คนที่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการบ่อย ๆ เช่น คนที่กังวลว่าจะป่วย กลัวว่างานออกมาจะล้มเหลว กลัวการแข่งขันจะออกมาไม่ดี กลัวจะพ่ายแพ้ให้แก่คู่ต่อสู้และทำให้ทีมต้องผิดหวัง ซึ่งพอยิ่งกังวล สมองก็จะยิ่งคิดถึงมัน สุดท้ายภาพเหล่านั้นก็มักเกิดขึ้นจริงตามที่เคยจินตนาการ
จิตไร้สำนึกไม่รู้หรอก ว่าที่คุณคิดถึงมันบ่อย ๆ น่ะ คุณไม่อยากได้มัน เพราะในภาษาภาพ ไม่มีคำว่า “ไม่”
นั่นเป็นเหตุผลที่เวลาคุณเริ่มมีอาการเจ็บคอ ตัวร้อน แล้วคุณบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า พรุ่งนี้มีงานสำคัญ ป่วยไม่ได้นะ อย่าป่วยนะ สุดท้ายคุณก็ป่วย โดยที่ไม่เคยเข้าใจเลยว่า นั่นคือสิ่งที่คุณร้องขอมาเองแบบซ้ำ ๆ
อธิบายมาถึงตรงนี้ น้องไกด์เริ่มม่านตาขยายกว้าง เหมือนค้นพบสิ่งสำคัญที่ทำหายไปจากชีวิตกว่าสามปี
“ผมเข้าใจแล้วพี่ ทำไมผมเครียด กังวล นอนไม่เคยหลับเต็มอิ่ม มากว่าสามปี ผมเข้าใจแล้ว”
“ผมเห็นภาพแย่ ๆ ของตัวเองมาตลอดสามปี ภาพที่ผมกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น และชอบนึกถึงมันซ้ำ ๆ ขอบคุณมากพี่ ผมจะเลิกคิดถึงภาพแบบนั้น ผมจะนึกถึงแต่ภาพที่ผมต้องการ ผมเคยเห็นมาแล้ว ภาพที่ผมอยากได้ อยากทำจริง ๆ แต่หลงลืมมันไป วันนี้ผมได้มันกลับมา และผมเชื่อว่าผมทำมันได้ ขอบคุณพี่มากจริง ๆ”
เราคุยกันไม่นาน แค่ประมาณสิบนาที แต่เหมือนน้องไกด์จะค้นพบบางอย่างในระหว่างสนทนา จนได้พลังในการใช้ชีวิตกลับคืนมา
สุดท้าย ผมเลยให้เทคนิคการสื่อสารเพิ่มเติม จิตไร้สำนึกมีพลังมหาศาลมาก แต่เราต้องบอกเขาให้ชัดว่าต้องการอะไร นึกภาพสิ่งที่เราต้องการให้ชัด ชัดขนาดที่ว่า ถ้าอยากรวย อย่าบอกแค่ฉันต้องการรวย แต่นึกให้เห็นภาพตัวเลขในสมุดบัญชีเลย ว่ามีเลขอะไรอยู่บ้าง ปิดสมุดบัญชีลงมาเห็นชื่อเราอยู่บนสมุดอีก สัมผัสความรู้สึกตอนเรามีสมุดเล่มนี้อยู่ในมือจริง ๆ ให้ได้ การจินตนาการต้องชัดเจนระดับนั้น ที่สำคัญมาก ๆ คือ หลีกเลี่ยงการคิดถึงสิ่งที่เราไม่ต้องการ หากมันมีแว๊ปเข้ามาเมื่อไร พอตั้งสติได้ ให้รีบปรับการสื่อสารใหม่ทันที
“ฉันขอโทษ”
“ฉันรักเธอ”
“ขอบคุณ”
ใช้คำพูดเหล่านี้ในการปรับพลังงานของการสื่อสารภายใน ให้เป็นพลังงานบวก เพื่อให้มันผลักดันพลังงานลบออกจากร่างกายเราไป รู้สึกขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเราได้ทำมาและกำลังจะทำต่อไป
คิดถึงแต่สิ่งที่เราต้องการเท่านั้น
และเลิกนึกถึงสิ่งที่เราไม่ต้องการ
396 thoughts on “๑๐ นาทีบำบัด”
Comments are closed.