“การฟัง ช่วยชีวิตคนได้”
ผมถูกสอนแบบนี้ตลอดการฝึกฝนอย่างเข้มข้นสองปีในการเป็นโค้ชอาสา
.
การฟังแล้ว “ตัดสินตลอดเวลา”
เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์
จึงไม่แปลก ที่เราไม่ได้ยินสิ่งที่มนุษย์คนอื่นพูดอย่างแท้จริง เพราะเราได้ยินแต่เสียงในหัวของเราเอง ผ่านการตีความเท่านั้น
จึงไม่แปลก
ที่ผู้คนจะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ
โหยหาใครสักคนที่จะไม่ตัดสินเขาแบบผิด ๆ
เหมือนที่โลกทั้งใบ ทำกับเขา
.
ทักษะที่จำเป็นที่สุดในการ Coaching นั้น คือ การฟัง
ฟัง ด้วยความว่างเปล่า ๑๐๐%
ฟัง โดยไม่มีการตัดสินผู้พูด
ฟัง ให้ได้ยินสิ่งที่ผู้พูดรู้สึก
ให้ได้ยินสิ่งที่เค้าต้องการในเบื้องลึก
ไม่ใช่ได้ยินแต่เสียงตัวเอง ที่กำลังตัดสินผู้พูด
เพราะเราไม่เคยแยกแยะเสียงในหัวเราเองได้ เราเกิดมาพร้อมกับมัน และมันจะดังอย่างนั้นตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่คุณกำลังอ่านข้อความที่ผมเขียนอยู่นี้ คุณก็ได้ยินมันผ่านเสียงในหัว ของตัวคุณเอง
.
แต่หากเราฝึกฝน จนค่อย ๆ รู้เท่าทัน
ว่าเรากำลังฟังคนตรงหน้า หรือฟังเสียงตัวเองอยู่
เราจะเริ่มฟังอย่างว่างเปล่าได้
และผู้พูดก็จะเริ่มสัมผัสได้เช่นกัน ว่าเราได้ยินหัวใจเขาจริง ๆ
เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มเชื่อใจเรา วางใจเรา
และรู้สึกว่าเราคือพื้นที่ปลอดภัย
ปลอดภัยจากการ “ถูกตัดสิน”
ซึ่งเป็นความปลอดภัยที่มนุษย์ต้องการมากที่สุดในจิตใจ
.
เมื่อเกิดความไว้วางใจ
กำแพงที่คนสร้างไว้จะค่อย ๆ บางลง
การป้องกันตัวอัตโนมัติของมนุษย์ จะค่อย ๆ คลายลง
และทำให้บทสนทนาของคนสองคน
สามารถเป็น “ของจริง” โดยไม่มีอะไรต้องปกปิด เสแสร้งได้
.
.
จริง ๆ แล้วหน้าที่ของโค้ชนั้น
มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า
“ฟัง” และ “สะท้อนกลับไป”
ให้ผู้พูดได้ยินตัวเอง ได้เห็นตัวเอง
จนเขาตระหนักได้เองว่า อะไรที่หยุดเขาไว้
ตระหนักได้เองว่า มากแค่ไหน
ที่เขาเอาแต่ฟังแต่เสียงในหัวตัวเอง
จนไม่ได้ยินพันธสัญญาที่แท้จริงของชีวิตเขา
ว่าแท้จริงแล้ว เขาอยากเป็นใคร อยากทำอะไร
.
มนุษย์เรามีทรัพยากรทุกอย่าง เพื่อทำสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จ อยู่ในตัวอยู่แล้วครับ การไขว้ไขวไปนึกถึงเงื่อนไขที่จะล้มเหลวต่างหาก ที่ปิดกั้นการเข้าถึงทรัพยากรเหล่านั้น
โค้ชไม่ได้เติมพลังอะไรให้คุณหรอก
แค่ทำให้คุณได้เห็นสิ่งที่ขวางคุณอยู่จริง ๆ จากภายใน
แค่ทำให้คุณตระหนัก ว่าคุณต้องการอะไรจริง ๆ
จนคุณสามารถเข้าถึงทรัพยากรในร่างกายคุณได้อีกครั้ง
และในสภาวะนั้นแหละ
ที่คุณจะได้ตระหนักรู้ด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมไปทั่วร่างกายว่า
ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้
ไม่มีเงิน
คุณจะมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าคุณหาได้ หนทางจะมาเต็มไปหมด
เป็นมะเร็ง
คุณจะเชื่อหมดใจว่ามันทำอะไรคุณไม่ได้ แล้วมันจะค่อย ๆ ฝ่อไป
เป็นโรคซึมเศร้า
คุณจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่ไม่รู้จะเริ่มเศร้าอีกทียังไง
คิดฆ่าตัวตาย
เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่จะพรั่งพรูออกมาเอง
.
ทั้งหมดนั่นคือพลังของ “การฟัง”
แค่ความทุกข์ของคน ๆ หนึ่ง
ถูกใครอีกคนหนึ่งได้ยินจริง ๆ
ร่างกายเขาก็เริ่มบำบัดตัวเองแล้ว
และนั่นคือสิ่งที่ผมเรียกว่า “สนทนาบำบัด”
.
.
สุดท้ายผมอยากจะเล่าเรื่องจริงของเพื่อนผมคนหนึ่ง
เขาเป็นคุณหมอ ที่ไปขึ้นศาลในฐานะพยาน
ในคดีที่โรงพยาบาลฟ้องคนไข้ไม่ยอมจ่ายเงิน
คนไข้ขอสู้คดี ไม่ใช่ไม่มีเงินจ่าย
แต่เพราะเขาได้รับความทรมานแสนสาหัสระหว่างการรักษา
แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนสนใจ ใส่ใจ
ติดต่อ ร้องเรียน แต่ก็ไม่เห็นความรับผิดชอบใด ๆ
เพื่อนผมทราบเรื่องราวจากเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ว่า
หมอและพยาบาลเจ้าของไข้อธิบายหมดแล้ว
ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการรักษาที่ได้มาตรฐาน
แต่คนไข้ก็พยายามตุกติก ตินู่นตินี่ ดึงเกม ไม่จ่ายเงิน
จึงไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอยากคุยด้วยอีก
เมื่อทราบเรื่องราวดังนั้น เพื่อนผมก็ไม่อยากคุยกับคนไข้เช่นกัน
มาทำหน้าที่เป็นพยานแบบเงียบ ๆ ก็พอ
.
แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังคนไข้พูด คนไข้ระบายความรู้สึกด้วยน้ำตา เพื่อนผมได้ยินเข้าไปถึงหัวใจของคนไข้ว่า ในห้องผ่าตัดที่เต็มไปด้วยคนที่กำลังช่วยชีวิตเขานั้น เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครได้ยินความทรมานของเขาเลย และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นความรับผิดชอบใด ๆ ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะใส่ใจในความเจ็บปวดทรมานของเขา ที่ฝากชีวิตไว้กับที่นี่เลย
เพื่อนผมเริ่มเอะใจ เมื่อจับได้ว่า คนไข้พูดประโยคหนึ่งซ้ำ ๆ
“ไม่มีใครได้ยินเขาเลย”
.
ทันใดนั้นเพื่อนผมก็เข้าใจคนไข้ ว่าจริง ๆ แล้วเขาติดที่อะไรกันแน่ จึงเดินเข้าไปหาคนไข้แล้วพูดว่า
“ผมสัมผัสได้ในสิ่งที่คุณกำลังพูด ผมอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย
ผมรับรู้ครับว่าคนไข้ทุกข์ทรมานแค่ไหน“
.
พูดเพียงเท่านี้ คนไข้ก็น้ำตาไหล เหมือนจิตใจได้รับการบำบัด สิ่งที่ติดค้างคาใจมาตลอด ได้ถูกปลดปล่อยให้หลุดไป มีคนรู้ มีคนเห็น ว่าเขาทุกข์ทรมานแค่ไหน จิตของคนไข้จึงเริ่มคลายการต่อต้าน และปล่อยทรัพยากรบางอย่างคืนกลับมา
“ผมจำคุณหมอได้แล้ว
วันนั้นหมาคุณหมอป่วย แต่คุณหมอก็ยังมาช่วยผม
ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ”
.
หลายครั้งที่เราจำข้อมูลบางอย่างไม่ได้ นึกไม่ออก ไม่ใช่ว่ามันถูกลืม หรือ หายไปจากความทรงจำนะครับ จิตใต้สำนึกแค่ปิดกั้นความคิดเราไม่ให้เข้าถึงข้อมูลที่อาจมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงได้
คล้าย ๆ ตอนเราโกรธแฟนนั่นแหละ เราจะลืมไปหมดเลย ว่าเขาเคยทำอะไรน่ารัก ๆ ให้เราบ้าง จำได้แต่ความงี่เง่า มองเห็นแต่ข้อเสียนั่นแหละ
.
คนไข้ตัดสินใจจ่ายค่ารักษาทั้งหมดทันที ไม่มีข้อแม้
แค่เพียงสิ่งที่ติดค้างคาใจ ถูกใครบางคนรับฟังจริง ๆ เท่านั้น
ทำให้เพื่อนผมทราบว่า คนไข้ท่านนี้ ไม่ใช่คนไข้จอมงี่เง่า ขี้ตุกติก ที่พยายามโกงโรงพยาบาลแบบที่เคยได้ยินมา
เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังร่ำร้อง
ขอให้ใครบางคนได้ยินเสียงแห่งความทรมานของเขาเท่านั้นเอง
.
.
การฟัง ช่วยชีวิตคนได้ครับ
ฟัง ให้ได้ยินสิ่งที่คนไม่ได้พูด
ฟัง เข้าลึกไปให้ถึงหัวใจ
การฟังด้วยใจเพียงหนึ่งครั้ง อาจช่วยดึงใครบางคนออกมาจากความทุกข์ ช่วยปลุกเขาขึ้นมาจากการตัดสินใจฆ่าตัวตาย ช่วยหยุดยั้งการพังทลายของชีวิตใครหนึ่งคนได้
ผมว่ามันคุ้มค่า ที่เราจะ “ฟัง”
407 thoughts on “การฟัง ช่วยชีวิตคนได้”
Comments are closed.