เรียกได้ว่าเป็นหนังสือธรรมะเล่มแรก ที่ผมอ่านต่อเนื่องรวดเดียวจบได้ ต้องชมว่าคนเขียนผูกเรื่องเก่ง เรียบเรียงได้น่าติดตาม จนวางไม่ลงเลยทีเดียวครับ
รีวิวนี้จะมีสปอยล์นิด ๆ ให้พอได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มันน่าสนุกอย่างไร แต่ผมจะเก็บความสนุกและเนื้อหาที่สำคัญเอาไว้ให้ไปอ่านกันเอง เพราะความตั้งใจที่เขียนรีวิวนี้คือการสร้างแรงกระตุ้นให้ท่านไปซื้อมาอ่านจริง ๆ หรือถ้ารู้จักกันก็มายืมผมไปอ่านได้เลย ด้วยความยินดี
“จะเชื่อตอนเป็น หรือเห็นตอนตาย” เขียนโดย ณัฐพบธรรม เป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง สวรรค์ นรก ภูติผี นิพพาน การกำเนิดและแตกดับของมนุษย์ โลก จักรวาล โดยอ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกเป็นหลัก และนำมาเล่าในรูปแบบของนิยาย ทำให้อ่านง่าย น่าติดตาม สนุกไปพร้อม ๆ กับการศึกษาพระไตรปิฎกได้ ซึ่งข้อนี้ผมว่า ณัฐพบธรรม ทำได้ดีมาก และเป็นกุศลมาก ที่นำส่งธรรมะให้ผู้คนได้เข้าถึงกันง่ายขึ้นแบบนี้
.
ความรู้สึกมันจะไม่เหมือนอ่านหนังสือธรรมะสักเท่าไร แต่เหมือนกำลังอ่านนิยาย ที่เล่าเรื่องชายไทยวัยทำงานคนหนึ่งชื่อกฤต ซึ่งมีบุคคลิกคล้ายตัวผมเองอย่างนึงคือ เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเรื่องสวรรค์ นรก ที่ไม่เคยสัมผัสด้วยประสบการณ์ตัวเองว่ามีอยู่จริงนั้น ผมเองแม้จะเป็นชาวพุทธมาตลอดตั้งแต่เด็ก ได้ยินได้ฟังเรื่องสวรรค์ นรก มาตลอด แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเชื่อ ส่วนกฤตนั้นหนักกว่าผม คือไม่เชื่อเลย จะเป็นสายวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ เลยว่า ทำบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์ ทำบาปเยอะตกนรกหมกไหม้นั้น เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น และกฤตนั้นก็ไม่เชื่อในพระไตรปิฎกด้วย เพราะมันถูกเขียนมานานเป็นพันปี มันพิสูจน์ได้ยากว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เขียนจริง หรือข้อมูลในนั้นจะเป็นเรื่องจริง ในเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่เชื่อ กฤตเป็นคนประมาณนั้น
.
แต่ที่ทำให้เรื่องราวของกฤตมันน่าติดตามก็คือ จู่ ๆ กฤตก็มองเห็นร่างตัวเองนอนอยู่ และมีชายชุดขาวบอกว่า ไม่ต้องตกใจ เธอยังไม่ตาย ซึ่งก็หมายความว่า เป็นการถอดจิต แต่สำหรับกฤตนั้นมันคือความฝันมากกว่า ก็เลยทำตัวให้สนุกไปกับความฝัน กฤตจึงได้ไปเที่ยวสวรรค์ โดยชายชุดขาวเป็นไกด์พาไปทัวร์
และระหว่างเที่ยวชมสววรค์นั้นเอง กฤตจึงได้รู้ที่มาที่ไปว่า เหล่านางฟ้า นางสววรค์เหล่านี้ ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อตอนเป็นมนุษย์ จึงได้เสวยสุขในวิมานบนสวรรค์เช่นนี้ และที่น่าตกใจคือ การได้พบกับคุณย่าที่เสียไปแล้วบนสวรรค์
ทุกอย่างเป็นเหมือนฝันไป กฤตตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง ในห้องของตัวเอง ออกไปทำงานตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ความเชื่อว่าการไปสวรรค์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงความฝันนั้น ต้องสั่นคลอน คือการได้เห็นข่าวการเสียชีวิตของผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในทีวี และซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่กฤตได้ยินในฝันเมื่อคืนว่า เป็นเทวดาองค์ใหม่ที่กำลังจะจุติบนสววรค์ในอีกไม่ช้า
กฤตจึงเริ่มทำการพิสูจน์บางอย่างทันที โดยการกดโทรศัพท์หาพ่อของเขา เพื่อถามข้อมูลบางอย่างที่ย่าเล่าให้ฟังตอนเจอกันบนสววรค์เมื่อคืนนี้ และพ่อของกฤตก็แสดงท่าทีตกใจ ว่ากฤตรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่พ่อไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่กฤตยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
.
คน Type แบบกฤตและผมเนี่ย ดูเหมือนจะเป็นคนดื้อที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ นะ แต่จริง ๆ เราก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง ขอแค่ตอบข้อสงสัยของเราได้ เอาจริง ๆ เราก็ต้องการแค่คำตอบที่ชัดเจนจนไม่หลงเหลือคำถามคาใจอีก เท่านั้นแหละ
พอเริ่มตอบคำถามได้ว่า สวรรค์ที่ไปเยี่ยมชมมานั้น ไม่น่าจะใช่แค่เพียงความฝัน กฤตก็เลยต้องการพบชายชุดขาวอีกครั้ง จึงลองตั้งจิตก่อนนอนแบบที่ชายชุดขาวแนะนำ แล้วก็ทำให้ได้พบกันอีกจริง ๆ จากนั้นกฤตก็ได้ไปพบกับเทวดา นางฟ้า ยมบาล อีกมากมาย ได้ไปสวรรค์อีกหลายชั้น ได้ไปนรก ได้ไปเห็นนารีผล เห็นเปรต แต่ละฉาก แต่ละบทสนทนานั้น ค่อย ๆ ตอบคำถามกฤตและคนอ่านไปเรื่อย ๆ กฤตจะคอยตั้งคำถามที่คนอ่านอยากรู้ และชายชุดขาวก็จะค่อย ๆ ตอบคำถาม โดยอ้างอิงตามพระไตรปิฎก ไปเรื่อย ๆ จนจบหนังสือเล่มนี้
สำหรับผม นอกจากความสนุกที่ได้ร่วมเดินทางไปกับกฤตแล้ว ผมยังได้ค้นพบจิ๊กซอว์ที่หายไป ที่ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับหลายเรื่องที่กำลังอยากรู้อยู่พอดี เช่น ความเกี่ยวข้องระหว่าง คลื่นพลังงานของจิต กับ ภพ หรือทฤษฎีโลกคู่ขนาน
.
ตั้งแต่มาศึกษาเรื่องพลังงานควอนตัม ผมก็คิดว่า สถานที่อย่างเมืองลับแลนั้น อาจจะมีจริงก็ได้ แต่มันเป็นเหมือนโลกคู่ขนาน ที่อยู่ที่เดียวกันนั่นแหละ แต่เป็นพลังงานในคนละคลื่นความถี่กัน ถ้ามนุษย์คนใด ดันรับคลื่นความถี่ได้ทั้งสองช่วง ก็จะเห็นเมืองลับแลนั้นซ้อนอยู่กับสถานที่ในโลกปัจจุบันอันเป็นคลื่นความถี่หลัก ซึ่งสิ่งที่ผมสรุปความได้จากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเช่นนั้น และมันก็อธิบายเรื่องการมองเห็น ภูติผี ปีศาจได้ด้วย
ถ้าจะให้ลองอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่ผมเข้าใจตอนนี้ ผมจะบอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นจิต ในรูปแบบพลังงานที่อยู่คนละคลื่นความถี่กับเรา ส่วนจิตเรามีคลื่นความถี่แบบนึง และมีภาชนะเป็นร่างกาย ซึ่งก็เป็นพลังงานในคลื่นความถี่นึงในภพของมนุษย์โลก ถ้าจังหวะที่เราและภูติผี ปีคาจ อยู่ ณ สถานที่เดียวกัน แล้วจิตเราสามารถปรับไปรับคลื่นความถี่เดียวกับเค้าได้ เราจะมองเห็น หรือได้ยิน หรือรู้สึก ถึงการมีอยู่ของเค้าได้ ไม่ต่างอะไรจากวิทยุ ที่ปรับไปคลื่น FM89 ก็จะเจอเพลงจาก Chill FM แต่พอปรับไปคลื่น FM100 จะได้ข่าวสารจราจรจาก จส.100 แทน ทั้งที่วิทยุก็ตั้งอยู่ ณ สถานที่เดียวกัน ไม่ได้ขยับไปไหน
นรก สวรรค์ ชั้นต่าง ๆ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนอย่างเมืองลับแล คือมันก็อยู่ของมันตรงนั้นแหละ แต่เราจะเห็นมันไหม ก็อยู่ที่คลื่นความถี่ของจิตเรา ซึ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่จิตเราหยาบมาก เพราะเราไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียด ให้อยู่กับความจริง แต่เราอยู่กับสิ่งปรุงแต่ง อยู่กับกิเลสจนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เราวิ่งตามเงิน ตามเทคโนโลยี ตามความสุขจากการสนองกิเลส กันมาหลายร้อยปี จนจิตมนุษย์เราหยาบขึ้นมาก มนุษย์สมัยก่อนนั้น โอกาสในการเข้าถึงสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นกิเลสมีน้อยกว่าปัจจุบัน จิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคนั้นจึงละเอียดกว่านี้ คนที่เห็นภูติผี ปีศาจ หรือแม้แต่เทพ เทวดา นางฟ้า จึงมีเป็นปกติ และเมื่อพบเห็นกันได้ สัมผัสกันได้ การจะเกิดความรักชอบพอกัน จนเสพกามร่วมกันนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพราะเทวดา นางฟ้าเองก็มีหลายระดับ อาจจะยังคงมีที่ยังละกิเลสไม่ได้อยู่บ้างเป็นธรรมดา แค่คำอธิบายนี้ ก็ทำให้ผมทึ่งแล้วว่า เรื่องราวในวรรณคดีต่าง ๆ ครึ่งคนครึ่งเทพ อะไรเหล่านี้ อาจเป็นเรื่องจริงในอดีตกาล ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมา ก็เป็นได้
.
ผมจึงรู้สึกว่า ผมเจอจิ๊กซอว์ที่ตอบคำถามผมได้อีกครั้ง ว่าผมจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้นไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อได้มีอิทธิฤทธิ์ สร้างปาฏิหาริย์ มองเห็นนรก สวรรค์ วิญญาณได้ แต่เพื่อมองเห็นความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ด้วยตนเอง เพราะศักยภาพของจิตผมตอนนี้นั้น ยังละกิเลสไม่มากพอ ยังละเอียดไม่มากพอที่จะรับรู้ความจริงในคลื่นความถี่อื่น ๆ ได้ แม้ว่ามันจะอยู่แค่ตรงหน้าผมก็ตาม ในมุมนี้มัน Inspire ผมให้กลับมานั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนาจริงจัง
อีกเรื่องที่ผมได้ค้นพบและอยากแบ่งปันในรีวิวนี้คือ เรื่องของกฎแห่งกรรม
แม้มันจะเข้าใจได้ยากในทางวิทยาศาสตร์ ว่าธรรมชาติ ใช้กลไกอะไรในการทำให้สรรพสัตว์ ได้รับผลแห่งการกระทำเสมอ ทำไมคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเยอะ ๆ เวลาเขาตกที่นั่งลำบากก็มักจะมีความช่วยเหลือแบบปาฏิหาริย์ เข้ามาหาเขาเสมอ ทำไมคนที่ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตอื่นมาก ๆ แม้จะมีเงินเยอะ แต่ชีวิตของเขาก็มักถูกเบียดเบียนมากเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ที่เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ที่ฆ่าสัตว์มาเยอะ ว่าเค้าจบชีวิตเช่นไร
แต่ในอีกภพหนึ่งที่เราไม่สามารถใช้อุปกรณ์ในภพนี้ ไปวัดค่าได้ กลไกของนรกสวรรค์ กลับอธิบายเรื่องนี้เอาไว้หมดแล้ว เพียงแต่มันยากที่จะเชื่อ เพราะเราเคยชินกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ที่ถูกสร้างขึ้นในภพนี้ ในคลื่นความถี่นี้เท่านั้น เราแค่ไม่รู้จักความจริงในอีกภพหนึ่ง ซึ่งเคยมีมนุษย์ที่ฝึกจิตจนละเอียดมากพอ จนไปเห็น ไปเข้าใจภพนั้น และนำมาบอกเล่าแก่เราแล้ว แต่เรายังคงถกเถียงกันอยู่ว่า มันจริงเหรอ เชื่อถือได้แค่ไหน มโนหรือเปล่า
.
ถึงตอนนี้ ผมนึกถึงประโยคหนึ่งจาก นิกาย เซน
“คัมภีร์เหมือนนิ้วที่ชี้ให้เห็นดวงจันทร์”
แต่คนเราส่วนมาก ดันมาโฟกัส มาตั้งคำถามที่นิ้วกันอยู่นั่นแหละ ชี้ให้ตายก็ยังมองไม่เห็นดวงจันทร์ อันเป็นเป้าหมายของนิ้วนั้นเสียที
.
บางเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ในพระไตรปิฎกเรียกว่า อจินไตย ถ้าไปค้น Wikipedia จะเจอว่ามี 4 แบบ
- พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
- ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
- กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
- โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
.
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจแหละครับ ที่ผมอยากจะฝึกจิตให้ละเอียดขึ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ฝึกจิตจนบรรลุธรรมได้ โดยที่จิตยังอยู่ในภาชนะร่างกายมนุษย์ และได้เผยแผ่ จนหลักธรรม คำสอน ยังคงมีบันทึกไว้ในภพมนุษย์โลกนี้ ส่งมารุ่นต่อรุ่นจนทุกวันนี้
และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คนเจ้าตรรกะอย่างผม อยากทำบุญมากขึ้น ปล่อยวางเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ที่เราจะไม่ให้เงินขอทาน มันขอทานจริงหรือปลอมวะ? ยิ่งให้เงินขอทานยิ่งสร้างปัญหาให้สังคมป่าววะ? ฯลฯ ไรพวกนี้ ถ้ามีเมตตา ต้องการจะแบ่งปัน ก็แค่ให้ เท่านั้นพอ หรือบางช่วงที่เราขัดสน มีไม่พอ เราจะยิ่งงก ยิ่งตระหนี่ โดยมีข้ออ้างว่า เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหม ทุกบทสนทนาในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมมีจิตที่เมตตามากขึ้น และต้องการสะสมบุญให้มากขึ้น ในทุก ๆ วินาทีที่เรายังมีโอกาส
.
ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ทำให้ผม “ปล่อยวาง” การตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความจริง” ในพระไตรปิฎก ได้ค่อนข้างมาก
ผมได้เข้าใจว่า การทำแบบนั้น มันเหมือนผมกำลังใช้ความรู้ทางฟิสิกส์ ไปจับผิดภาพวาด Abstract ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถ้าผมอยากเข้าใจงานชิ้นนั้นจริง ๆ ผมควรละทิ้งความรู้ ความเชื่อทางฟิสิกส์ที่ผมมี แล้วเอาตัวเองก้าวเข้าสู่โลกของงานวาดแบบ Abstract เพื่อสัมผัสมันในมุมมองของศิลปิน ไม่ใช่ใช้มุมมองของนักฟิสิกส์ตัดสินงานศิลป์อยู่ได้
วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ ฯลฯ ล้วนเป็นเป็นเพียงนิ้วที่กำลังชี้ให้ผมมองเห็นพระจันทร์เท่านั้น ผมควรจะเลิกสนใจนิ้ว เลิกตั้งคำถามกับนิ้ว หรือเจ้าของนิ้ว แล้วหันไปศึกษาพระจันทร์จริงจังเสียทีจะดีกว่า
หากรีวิวนี้ของผม ทำให้คุณได้คุณค่าบางอย่าง ผมอยากบอกว่า มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ผมได้จากหนังสือเล่มบาง ๆ สองร้อยกว่าหน้า ที่อ่านแป๊ปเดียวก็จบ เล่มนี้เท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ได้อ่านเต็ม ๆ เล่มด้วยตัวเองนะครับ
ผมเชื่อว่า คุณจะสนุกไปกับการได้ร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กฤต แล้วคลื่นความถี่ของจิต จะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่คุณได้ค้นพบใหม่แน่นอน