๑. Straw on Demand

ถ้าไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย ปฏิเสธการใช้ ‘หลอด’ กันเถอะฮะ
โครงการ Straw On Demand เริ่มใช้แล้ว
จากทางฝั่งผู้ประกอบการร้านอาหาร
คือ ไม่เสิร์ฟหลอด นอกจากขอ
หลายร้านเริ่มช่วยกันจุดประกาย การลดขยะพลาสติกโดยเริ่มจากหลอด
ทางฝั่งผู้บริโภคเองก็ช่วยได้ โดยปฏิเสธ ไม่รับหลอดจากบริกร
มันอาจไม่ได้สร้างความแตกต่างมากมาย ให้กับปริมาณขยะทั่วโลก
แต่มันลดปริมาณขยะพลาสติก ที่เกิดจากการบริโภคของเราได้แน่นอนฮะ
ส่วนตัวผมกับแฟนและเพื่อน ๆ รอบตัวโดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนักดำน้ำ เราเริ่ม งดใช้หลอด กันมาสักระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เห็นคลิปดึงหลอดจากจมูกเต่าครั้งแรกเลยก็ว่าได้ พอเห็นร้านอาหารหลายร้าน เริ่มตอบรับกระแสนี้ โดยเข้าร่วมแคมเปญ Straw on demand ไม่เสิร์ฟหลอด นอกจากขอ ผมจึงให้น้องลิงร่วมด้วยช่วยตีกระแสอีกทาง
ต้องบอกว่า ไม่คาดคิดเลยว่ารูปนี้จะได้รับความสนใจจากแฟนเพจ ถึงขั้นแชร์กันไป ๑๗๖ ครั้ง มีคนเห็นโพสนี้กว่า ๘๐,๐๐๐ คน และคนส่วนใหญ่ที่แชร์ไปก็มีทัศนคติที่คล้ายกับผม คือความสะดวกสบายที่ได้จากหลอดนั้น เทียบกับมีขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชิ้น เราคิดว่าไม่คุ้ม ขอลดการสร้างขยะจะดีกว่า เรื่องขอบแก้วสกปรกก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะเราเช็ดขอบแก้วได้ ยิ่งตามไปอ่านที่แต่ละคนแชร์ไป ยิ่งชื่นใจครับ ว่าคนตื่นตัวเรื่องขยะกันมากจริง ๆ ดีใจที่รูปที่เราวาดก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้ครับ
๒. เป็นเช่นนั้น

คำพูดง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยปรัชญาชีวิต ที่น้อยคนนักจะเข้าถึง
.
เพราะคนเราเคยชินกับการตัดสิน ตีความ ให้ความหมาย สิ่งที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ผ่านการรับรู้จาก Sensor สารพัดชนิดในร่างกายเรา เราเลยไม่เคยได้มองสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ว่ามัน “เป็นเช่นนั้น” เราจะปรุงแต่งมันด้วยเรื่องราว ต่าง ๆ นา ๆ จนเป็นบ่อเกิดของ “อารมณ์”
.
เช่น
คุณหญิงป้า เห็นแม่การะเกด ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งออกไปราวกับกระโดดเด้งดึ๋ง คุณป้าท่านก็ปรุงแต่งทันทีว่า แบบนี้คือ กระโดกกระเดก มิเหมาะมิควรจะเป็นกิริยาของแม่หญิง แล้วเยี่ยงนี้หรือจะมาเป็นลูกสะใภ้ฉัน เมื่อปรุงแต่งเรื่องราวไปดังนี้ ก็เกิดอารมณ์เกลียดชัง
เช่น
เราเห็นผลการประเมินจากหัวหน้า ว่าเราไม่ผ่านการทดลองงาน เราก็ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกผิด ไม่อยากเป็นคนด้อยค่า เราจึงให้ความหมายหัวหน้าเราต่าง ๆ นา ๆ ด่วนตัดสินบ้าง ไม่ให้โอกาสบ้าง มีอคติกับเราบ้าง และการปรุงแต่งด้วยเรื่องราวเหล่านั้น ทำให้เรามีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หัวเสีย
.
การปรุงแต่งตลอดเวลาของจิตคนเรานั้น ทำให้เราไม่ได้มองโลก และสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก ตามความเป็นจริงเลย และหากการปรุงแต่งยิ่งรุนแรงเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นในจิตใจเท่านั้น และนั่นคือบ่อเกิดของความทุกข์
.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดอารมณ์ที่รุนแรง จิตใต้สำนึกจะจดจำคน หรือ เหตุการณ์นั้นไว้ กลายเป็นดั่งรอยแผลในใจ และทุกครั้งที่พบเจอคนหรือเหตุการณ์ที่คล้าย ๆ กันอีก อารมณ์นั้นจะกลับมาโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องผ่านสมอง เพราะมันเป็นการทำงานในระดับจิตไร้สำนึก
.
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงไม่ชอบคนลักษณะแบบนั้น แบบนี้ เจอคนนี้ครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดแล้ว
ทำไมเราจึงกลัวน้ำ กลัวความสูง กลัวความล้มเหลว กลัวความรัก กลัวความไม่มั่นคง เบื่อสังคม และอาการอีกต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแบบที่เราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
.
เพราะเราปรุงแต่งทุกสิ่งตลอดเวลา สร้างอารมณ์ สร้างกิเลส แล้วบันทึกมันไว้ในจิตใต้สำนึกกันทุกวัน
เพราะเราไม่เคยมองโลกตามความจริง ว่าทุกอย่างมันก็
“เป็นเช่นนั้นเอง”
๓. สว่างไม่พอ

จึงจะลงมือทำ
บางคนต้องการรู้แค่คร่าว ๆ
เพียงมั่นใจว่าทำได้ ก็เริ่มลงมือทำ
บางคนไม่ต้องรู้อะไรเลย
ทำไปเรียนรู้ไปได้เสมอ
โจทย์ชีวิต ที่โลกโยนมาให้
เราไม่รู้ว่าจะมีคำอธิบายติดมาด้วยแค่ไหน
แต่ไม่ว่าอย่างไร
เราก็ต้องแก้โจทย์นั้นอยู่ดี
ผมเองก็เคยเป็นคนประเภท ถ้าจะทำอะไรสักอย่างจะต้องหาข้อมูล เตรียมความพร้อม รู้ขั้นตอนทั้งหมดก่อน แล้วจึงจะเริ่มทำขั้นตอนแรก แต่หลังจากได้เรียนรู้ว่า มันทำแบบนั้นกับทุกเรื่องในชีวิตไม่ได้ เพราะบางครั้งมันก็ต้องตัดสินใจเร็ว กล้าเสี่ยง กล้าวัด บางทีโอกาสดี ๆ ก็ไม่รอใคร ผมจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ยืนเป็นต้นเหตุให้กับการจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวของตัวเอง ไม่โทษใคร ไม่ต้องรอ Resource จากใคร ไม่มีใคร ถ้าจำเป็นก็ต้องกล้าร้องขอการสนับสนุนจากผู้อื่น ถ้าไม่มีใครช่วย ก็ต้องไขว่คว้าเอาเอง
ผมได้แรงบันดาลใจมากจากการได้เห็นหลายคน อยากเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แต่ก็มัวแต่รอคำแนะนำจากคนอื่น รอความรู้จากคนอื่น หรือบางครั้งก็กล่าวโทษคนอื่นด้วยซ้ำ ว่าไม่ได้ทำบางอย่างให้เขา เขาก็เลยเริ่มต้นไม่ได้ แต่ตัวเองก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาเร่งรัดใคร หรือไม่ได้ทำอะไร จึงเหมือนคนในรูปที่เอาแต่โวยวายอยู่กับที่ ในขณะที่ลิงค่อย ๆ เดินไปศึกษาเส้นทางไปทีละก้าวด้วยตัวเอง เท่าที่แสงสว่างจากไฟฉายจะส่องได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร รูปนี้ถูกแชร์ไปกว่า ๑,๒๐๐ ครั้ง มีคนเห็นมากกว่า ๒๓๐,๐๐๐ ครั้ง คาดว่าคงมีคนเข้าใจแง่คิดดี ๆ จากการ์ตูนสามช่องนี้ไม่น้อยครับ
๔.สมบูรณ์แบบ

เราสมบูรณ์แบบ ในแบบที่เราเป็นเสมอ
และไม่ว่าใครจะพูด ว่าเราไม่สมบูรณ์แบบสักเพียงไหน
เชื่อเถอะว่า เราเป็นส่วนที่ขาดหายไป
ที่เติมเต็มชีวิตใครบางคนได้เสมอ
และมนุษย์ทุกคน ก็สมบูรณ์แบบในแบบที่เค้าเป็น
เป็นอีกโพสที่ดูธรรมดา ไม่หวือหวา แต่ถูกแชร์ออกไปกว่า ๒๕๐ ครั้ง และที่ผมดีใจที่สุดคือ คนส่วนใหญ่ได้กำลังใจจากโพสนี้ ว่าคนเราทุกคนต่างก็สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ในแบบของเรา และเรายังสามารถส่งเสริมให้ผู้อื่น ให้ใช้ความสมบูรณ์แบบของเขาเองได้ด้วย
และผมได้รับข้อความจากคุณพ่อท่านหนึ่ง ว่า ขอบคุณจริงๆครับ,เป็นข้อความที่ทำให้ผมต้องส่งต่อให้ลูกชายคนโตได้อ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้เขา และอยากให้เขาเลิกโกรธพ่อเถอะ(ไม่กี่วันก่อน กล่าวตำหนิและตักเตือนเขานิดหน่อย ให้เขาหยุดเสพอะไรบางอย่าง,เพื่อชีวิตเขาจะได้อยู่รอดปลอดภัย,เขาคงโกรธ) ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริง
นี่แหละครับ กำลังใจที่ทำให้ผมมีแรงทำเพจต่อไป
๕. ความคิดคือพลังงาน

โทรศัพท์มือถือ รถ คอนโด เรามักจะเจอข้อมูลของสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ
เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส อยู่บ่อย ๆ จนความอยากมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น
รู้ตัวอีกที เป็นหนี้ไปเรียบร้อย แต่เราก็ได้สิ่งนั้นมาครองครองแล้ว
หรือเจอคนเห็นแก่ตัวหนึ่งคน ขยะแขยงมาก ขออย่าได้พบเจอกันอีกเลย
ช่วงนั้นเราก็มักจะต้องเจอคนแบบนี้อีกเรื่อย ๆ จนรู้สึกต้องไปทำบุญล้างซวย
.
ความคิดคือพลังงาน
สมองคนเราสร้างคลื่นความถี่ตามที่เราคิด แล้วส่งพลังงานนั้นออกไป
.
สมองไม่รู้หรอกว่า เราต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ ไหม
สมองรู้แค่เพียงว่า เรานึกถึงอะไรบ่อย ๆ เค้าก็แค่ส่งคลื่นความถี่นั้นออกไป
แล้วดึงดูดคลื่นความถี่ที่คล้ายกันเข้ามา
.
คนที่คิดถึงเรื่องแย่ ๆ ซ้ำ ๆ
อกหักก็คิดถึงแต่คำพูดแย่ ๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกซ้ำ ๆ
ตกงานก็นึกถึงแต่คำพูดหัวหน้า ที่ให้เราออกซ้ำ ๆ
เพื่อนร่วมงานติผลงานเรา 1 ครั้ง เราเอาฉากนั้นมาฉายซ้ำในหัว
แล้วบอกตัวเองว่าห่วย ซ้ำเป็น 100 ครั้ง
สมองก็จะชินกับคลื่นความถี่นั้น จนตัวเรากลายเป็นพลังงานแบบนั้น
ตื่นนอนมาพร้อมกับคลื่นความถี่นั้น แล้วดึงดูดพลังงานแบบเดียวกันเข้ามา
.
ตรงกันข้าม คนที่ไม่ดูละครน้ำเน่า
ไม่เสพคำพูดเมียน้อยที่เอาชนะเมียหลวง ไม่เสพพฤติกรรมผัวจอมโกหกลวงโลก
ไม่เสพข่าวร้าย ปล้น ฆ่า รถคว่ำตายหลายศพ
เสพแต่ข่าวดี ๆ ความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ บทความ คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ
โฟกัสสิ่งที่ตัวเองอยากได้ เห็นภาพครอบครัวพร้อมหน้า
เงินจำนวนที่ใช้ไม่หมดในสมุดบัญชี
เห็นรูปร่างตัวเองในแบบที่ต้องการในกระจก
เห็นตัวเองนั่งอยู่ชายหาดที่อยากไปมาทั้งชีวิต
ยิ่งเสพข้อมูลเหล่านี้เข้ามามากเท่าไร สมองเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร
ตัวเราก็จะเป็นคลื่นความถี่ที่ชัดเจน และรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
.
เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่า
คนแบบที่เราต้องการ เค้าอยู่ที่ไหนบนโลก?
ความฝันที่เราอยากพิชิตนั้น ต้องทำอะไรก่อนหลัง?
เงิน บ้าน รถแบบที่เราอยากครอบครองนั้น เราจะหามาอย่างไร?
.
แค่ตั้งค่าความถี่ของตัวเรา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการก็พอ
คนที่เหมือนกัน พลังงานแบบเดียวกัน จะมีแรงดึงดูดกัน
จิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่จำเป็นเข้ามาให้เรา
และคัดกรองสิ่งที่เราไม่ต้องการออกไปให้เอง
จนหลายล้านคนทั่วโลก ค้นพบแล้วว่า เมื่อมุ่งมั่นมากพอ
ตั้งจิตถึงสิ่งที่ต้องการชัดพอ วิธีการ จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวเอง
ทรัพยากรที่จำเป็น จะค่อย ๆ เข้ามาในชีวิตเอง
.
คำถามคือ
ทุกวันนี้เราเสพสิ่งใด? โฟกัสสิ่งใด?
เราจินตนาการถึงสิ่งใดมากกว่ากัน?
สิ่งที่เราต้องการ หรือ ไม่ต้องการ?
๖. เราเป็นภาชนะเก็บเงินขนาดไหน?

คนที่เตรียมตัวเองให้พร้อม
ให้คู่ควรกับความโชคดีไว้เสมอ
เป็นอีกโพสที่มีคนเห็นมากกว่าคนที่ติดตามเพจ เนื่องจากถูกแชร์ออกไปกว่า ๗๖๒ ครั้ง
“Fortune favors the prepared mind. ” – Louis Pasteur
เป็น Quote ที่ผมชอบตลอดกาล เพราะผมเชื่อว่า เราจะมีเงินมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ที่เรามี และนั่นก็จะบ่งบอกถึงขนาดภาชนะเก็บเงินที่เราเป็น จริงอยู่ คนเรามันต้องทั้งเก่งและเฮง แต่คนจำนวนมากที่ได้ความเฮงเข้ามาช่วย มีต้นทุนดี มีโชคลาภวิ่งชน แต่ความรู้ ความเก่งของตัวเองยังไม่พร้อมจะเป็นเจ้าของความมั่งคั่งระดับนั้น เดี๋ยวมันก็จะมีเรื่องให้สูญทรัพย์ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ในจุดที่คู่ควรอยู่ดีครับ ในทางตรงกันข้าม การพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เหมือนเป็นการเตรียมดินให้พร้อม เมื่อสายลมแห่งความเป็นไปได้ พัดพาเมล็ดพันธุ์แห่งโอกาสตกลงมาฝังตัวเองในดินที่พร้อมอยู่แล้วแบบเรา มันก็จะสามารถเติบโตได้ทันที และนี่ก็คือความหมายของประโยคที่ว่า
“โชคดี ชอบพุ่งเข้าชน คนที่เตรียมตัวเอง ให้คู่ควรกับความโชคดีไว้เสมอ”
ใครชอบอะไรแนว ๆ นี้ ผมแนะนำหนังสือ “Goodluck” นิยายสั้น ๆ เล่มบาง ๆ อ่านคืนเดียวก็จบ แต่ได้แรงบันดาลใจมหาศาล ในการเตรียมตัวเราเองให้เป็นดินคุณภาพเยี่ยม
พร้อมให้เมล็ดพันธุ์แห่งโอกาสทุกชนิด หยั่งรากและเติบโตครับ

๗. relationSHIP

เรือใหญ่อัปปางได้ เพราะรูรั่วเล็ก ๆ
relationSHIP ก็เช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ก็เปรียบเหมือนเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง
มุมมอง การตีความ
ที่เรามีต่อพฤติกรรม ท่าทาง คำพูด ของอีกคน
อาจก่อให้เกิดอคติในใจ และนั่นคือการเจาะรูรั่วให้เรือลำนี้
.
มันไม่แปลก ที่เราจะมีมุมมอง ตัดสิน ตีความ
เพราะมนุษย์คือเครื่องจักรตีความ
เราแปลความหมายทุกสิ่งตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่ถ้ามันเป็นมุมมอง ที่ก่อให้เกิดอคติ
เราควรกล้าหาญมากพอ ที่จะพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อร่วมกันปรับความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ อคติ จางหายไป
ไม่ปล่อยให้มีรูรั่วใต้ท้องเรือ
.
แต่ส่วนใหญ่
เรามักไม่เปิดโอกาสที่จะทำความเข้าใจ
เราชอบที่จะตัดสินกันเงียบ ๆ ลงไปเจาะรูรั่วใต้ท้องเรือไว้อย่างเงียบ ๆ
แล้วก็ขึ้นมายิ้มให้กันปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในใจ
.
คนจำนวนมาก เลือกที่จะไม่พูดสิ่งที่ตนรู้สึกออกไป
ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ไม่เป็นของจริง
เพราะกลัวจะถูกมองไม่ดี กลัวจะถูกเกลียด
แล้วก็สูญเสียความสัมพันธ์
หารู้ไม่ว่า การเก็บอคตินั้นไว้เงียบ ๆ ต่อไปนั้น
เราสูญเสียความสัมพันธ์ไปอยู่ดี จากการสะสมความเกลียดชัง
ในฝั่งเราเอง
ความสัมพันธ์ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เขียนถึงทีไร มักจะได้ความสนใจ ได้ Engagement ที่ดีแทบจะทุกครั้ง โพสนี้ผมพูดถึง การปล่อยให้เกิดอคติ เกิดความคิดลบขึ้นในใจ โดยไม่เปิดโอกาสให้ทั้งตัวเราเองและอีกฝ่าย ได้ปรับความเข้าใจกัน มันเป็นเหมือนการแอบเจาะรูเล็ก ๆ เอาไว้ใต้ท้องเรือแห่งความสัมพันธ์ แล้วมันก็รอวันที่จะอัปปาง
ประเด็นนี้ผมทำคลิปวีดีโอเอาไว้ด้วย ใครชอบประเด็นด้านความสัมพันธ์ กดไปดูได้ที่นี่ครับ สนทนาบำบัด EP2 relationSHIP
๘. ยิ่งต่อต้าน ยิ่งคงอยู่

Episode นี้ ผมพยายามอธิบาย ความลึกซึ้งทางภาษา ที่สามารถพลิกบริบท หรือ Context ของจิตของมนุษย์ได้ แค่เปลี่ยนรูปแบบของภาษาที่ใช้สื่อสารเท่านั้น
“ฉันเป็นอิสระจากความทุกข์ไม่ได้” แค่พูดก็รู้สึกหนัก ยาก ไร้ซึ่งหนทางจะไปต่อแล้ว ทุกครั้งที่เราใช้ภาษาลักษณะนี้พูดกับใครก็ตาม มันคือการสื่อสารกับตัวเองด้วยทุกครั้ง และมันทำให้เรายิ่งท้อ ยิ่งหมดพลัง ทุก ๆ ครั้งที่พูดหรือคิดในลักษณะนี้
แต่แค่ลองบิดรูปแบบประโยคนิดเดียว “ลองปลดปล่อยความทุกข์ให้เป็นอิสระดูสิ” แค่พูดก็รู้สึกเบากว่า ง่ายกว่า ไม่มีอะไรต้องฝืน ต้องยาก ก็แค่ปล่อยที่กำไว้ ก็แค่คลายที่กอดไว้ ซึ่งสุดท้ายความหมายของมันก็คือสิ่งเดียวกันกับประโยคแรกนั่นแหละ แค่ภาพที่เกิดขึ้นขณะที่สื่อสารในรูปแบบนี้ มันเบา สบาย ง่ายดาย กว่าแบบแรกเยอะเลย จริงไหมครับ?
๙. โลกนี้มีแต่พวกไม่รู้เรื่อง

จำเป็นอะไร ที่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น
ให้เป็นทิฏฐิของกู ยอมใครไม่ได้
คนอื่นผิดหมด มีกูถูกอยู่คนเดียว
นี่เรียกว่า อุปทานยึดมั่นในทิฏฐิความคิดเห็น
– พุทธทาส อินทปัญโญ
เนื้อหาที่มีความเป็นธรรมะแบบนี้ ถูกแชร์ออกไปเกือบ ๕๐๐ ครั้งนี่ ก็แอบประหลาดใจเหมือนกันนะ ประเด็นนี้หากอ่านแค่ผ่าน ๆ เราอาจจะสับสนครับ ว่า แล้วคนที่ฝ่าไฟแดงล่ะ คนที่ฆ่าคนตายล่ะ ไม่ผิดหรือไม่ ไม่ลงโทษหรือไง จะปล่อยมันไปเฉย ๆ หรือไง บ้านเมืองก็เละเทะหมดสิ
ใช่ครับ ผมไม่เถียง ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามบทลงโทษ เพราะนั่นคือกติกาที่เราตกลงจะใช้ร่วมกัน ไม่ควรจะหยวน ไม่ควรจะปล่อยผ่านครับ
แต่เราไม่จำเป็นต้องโกรธ ต้องเกลียด คนที่กระทำผิด ไม่จำเป็นต้องตราหน้าเขาว่าเป็นคนเลว ไม่จำเป็นต้องลงโทษเขาด้วยความสะใจ ทัศนคติแบบนั้น อารมณ์แบบนั้นแหละครับ ที่มักมาจากความยึดมั่นในทิฐิ ในอัตตาของเรา ว่าเรานี้แสนดีเหลือเกิน เป็นผู้ถูกเหลือเกิน ยกตนเองให้สูง โดยการมองเห็นผู้อื่นต่ำกว่า นี่แหละ อุปทานยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น อย่างที่ท่านพุทธทาสบอก
เอาจริง ๆ แล้ว “ถูก-ผิด” ก็ไม่มีจริงครับ มนุษย์เราเป็นคนบัญญัติมันขึ้นมาเอง เราทะเลาะกัน เราเกลียดกัน เราฆ่ากัน ทำสงครามกัน ก็เพราะยึดมั่นในถูก-ผิด ที่นิยามไม่เหมือนกันนี่แหละ ขนาดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเอามาเป็นข้อเท็จจริงอยู่ทุกวันนี้ ยังเปลี่ยนแปลงได้เลย เมื่อค้นพบหลักฐานใหม่มาหักล้างทฤษฎีเดิม กฎหมายก็ยังมีการอัพเดท ปรับปรุงไปตามบริบทของโลกและรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
ดังนั้น อย่าไปยึดติดมากเกินไป กับความเป็นผู้ถูกของตัวเองเลยครับ หลายคนต่อสู้กับคนรอบตัว คนรัก มากมายเหลือเกิน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นผู้ถูก แต่สูญเสียความสัมพันธ์ สูญเสียความรักไปมากมาย รวมไปจนถึงบางคนที่ถึงขั้นเครียดและยอมรับตัวเองไม่ได้เลย หากเราจะต้องกลายเป็นผู้ผิดบ้าง มันไม่มีใครจะถูกได้ตลอดเวลาหรอกครับ Nobody’s perfect เราก็เป็นคนธรรมดา ที่ต้องมีวันที่พลาดกันบ้างแหละครับ
๑๐. Unconditional Love

คือยังรักเรา แม้ตอนที่เรา ไม่น่ารัก
.
Unconditional love หรือ รักไร้เงื่อนไข
หลายคนมักคิดว่า คือความรักของพ่อแม่ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็รัก
แต่จริง ๆ แล้ว รักของพ่อแม่ส่วนใหญ่ ก็ยังไม่ใช่รักไร้เงื่อนไข
ก็มันต้องเป็น “ลูกตัวเอง” ไง
นี่แหละ “เงื่อนไข” สำคัญ ที่ทำให้ยังรักได้ แม้ตอนไม่น่ารัก
ลอง “ลูกคนอื่น” มาเยอะใส่เราแบบนี้ดิ ยังรักลงอยู่ไหม?
.
เมื่อเห็นชัดแล้วว่า รักของเรา ก็เป็นรักแบบมีเงื่อนไข
ก็แค่ยอมรับมัน แล้วหมั่นตรวจสอบ “เงื่อนไข” ของเรานั่นแหละ
ว่ามันเปลี่ยนไปบ้างไหม
แต่ก่อนเงื่อนไขก็ไม่ได้มากเท่านี้ ทำไมวันนี้มันถึงยากขึ้นล่ะ
ในการจะรักคน ๆ เดิม?
.
ไม่ต้องไปยุ่ง ไปเจ้ากี้เจ้าการ เงื่อนไขความรักของคนอื่นหรอก
รู้ให้เท่าทันเงื่อนไขในรักของใจเรา
แค่นี้ก็เป็นคนน่ารัก ที่รักได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว
๑๑. อ่านแต่ไม่ตอบ

ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความคาดหวัง แล้วมันดันไม่เป็นตามคาด
.
คนที่คาดหวังการพูดตรง ๆ เป็นอะไร ต้องการอะไร พูดกันให้ชัด ๆ
พอคู่สนทนาเงียบ ก็หงุดหงิด
คนที่คาดหวังว่ายิงโฆษณาขนาดนี้แล้ว มันต้องมียอดขายมาบ้างสิวะ
แต่พอไร้วี่แวว ก็หงุดหงิด
คนที่คาดหวังว่า รักเธอขนาดนี้แล้วนะ มันต้องรักเรากลับมาได้บ้างแล้วล่ะ
แต่พอเค้าไปตกหลุมรักคนอื่น ก็หงุดหงิด
.
ความคาดหวัง
บางครั้งก็เหมือน การรดน้ำ ใส่ปุ๋ยต้นไม้ แล้วคาดหวังจะออกดอกผลให้ได้เก็บกิน
แต่หากต้นไม้ มิได้มอบสิ่งใดกลับมาให้
เราจะยืนด่าต้นไม้ คาดคั้นให้มันออกดอกออกผลไหม?
.
พอเปรียบเทียบเป็นต้นไม้ มันฟังดูแล้วปล่อยวางง่ายดีเนอะ
ก็มันเป็นธรรมชาติอ่ะ ดอกผลไม่ออก ก็คือไม่ออก
มันก็แค่เป็น อย่างที่มันเป็น
.
แต่พอเป็นความคาดหวังที่เรามีต่อคน เรากลับไม่ได้มองว่า
ไม่ว่าเค้าจะตอบกลับมาอย่างไร ถูกใจเราหรือไม่ ก็เป็นเรื่องธรรมชาติเช่นกัน
เรากลับคาดคั้น จะให้มันเป็นอย่างที่เราอยากได้อยู่นั่น
จนลืมไปว่า แท้จริงแล้ว เค้าก็แค่เป็นมนุษย์ อย่างที่เค้าเป็น
ไม่ได้เป็นมนุษย์ ในแบบที่เราอยากให้เป็น
โพสนี้ ผมเองเขียนจากประสบการณ์ตรง กับการส่งข้อความไปถามเพื่อน เกี่ยวกับงานบางอย่างที่เคยทำร่วมกัน แล้วไม่ได้รับการตอบกลับ ก็ส่งไปถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ จนสุดท้ายออกแนวอ้อนวอนว่า ผมต้องทำยังไงให้คุณตอบอะไรกลับมาหน่อย บอกหน่อยสิ ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ คือถ้าเป็นแต่ก่อน มันก็จะโมโห เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำ คือมึงจะโกรธเคืองอะไร กูไม่รู้ แต่กูก็พร้อมคุยนะ คุยกันเถอะน่า เดินเข้าหาขนาดนี้แล้วยังเมิน ได้! ชาตินี้อย่าหวังจะได้คุยกับกูอีกเลย นี่คือหน้าตาของคนที่ถูกอีโก้ อัตตา ขับเคลื่อนชีวิต
แต่พอผมพิจารณาว่า ถ้าไม่ยอมตกเป็นทาสอัตตา แล้วเราอยากจะโต้ตอบกลับไปอย่างไรต่อ ผมก็พบว่า ยังไงก็อยากคุยแหละ อยากเข้าใจเขา ว่าเขามีเหตุผลอะไรถึงไม่ตอบเรา ไม่อยากคิดไปเอง คือจะตอบว่า เกลียดเราก็ได้นะ แค่อยากให้มันชัดเจนจากเขา ไม่ใช่เราสรุปความไปเอง ก็เลยได้ชัดเจนว่า การเลิกคบเขา จะไม่คุยกับเขาอีกเลย ไม่ใช่คำตอบ ถามตัวเองต่อว่า แล้วทำยังไงจะหายหงุดหงิด จึงได้พบว่า เราหงุดหงิดก็เพราะเราคาดหวัง ว่าถามไปแล้วเค้าจะต้องตอบ เหมือนที่เรารดน้ำ ใส่ปุ๋ยต้นไม้ แล้วคาดหวังให้ออกดอก
ทีนี้พุฒิปัญญาเกิดเลย คือพอเป็นต้นไม้ มันเห็นง่าย ว่าถ้าไม่ออกดอก เราก็ไม่โกรธต้นไม้ หนำซ้ำเราจะหันกลับมาสำรวจตัวเองด้วยซ้ำว่า ใช้ปุ๋ยไม่ดีเหรอ แดดแรงไปเปล่า รดน้ำมากไปไหม เราจะพยายามมองหาเหตุผลอื่นที่เราพลาดไป แทนที่จะก่นด่า เกรี้ยวกราดใส่ต้นไม้
ผมก็เลยปล่อยวางได้ สงบลงทันที ไม่ตอบก็คือไม่ตอบ และการไม่ตอบ ก็คือการตอบแบบหนึ่ง และหยุดความคิดไว้แค่นั้นเลย ไม่ต้องปรุงแต่งให้ความหมายมันเพิ่มเติมว่า ทำไมไม่ตอบ ไม่จำเป็นต้องรู้ เราก็รู้แค่รดน้ำไปแล้ว ต้นไม้ไม่ออกดอก แค่นั้นจบ คิดได้ดังนี้ก็สงบดี ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่หงุดหงิด ให้อิสระเขาเต็มที่ ที่จะเพิกเฉยต่อข้อความผม เขามีสิทธิ์ทำแบบนั้น ๑๐๐% และผมคงเป็นต้นเหตุที่ทำบางอย่างไว้เอง เขาถึงเลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อความผมในวันนี้ เราคู่ควรแล้ว
นั่นแหละครับ พอจิตสงบ อารมณ์สงบ ปัญญาก็เกิด ความคิดสร้างสรรค์ทำงาน จึงเกิดเป็นลิงรู้เรื่อง Episode นี้ขึ้นมาครับ
๑๒. ห้อยพระอะไร?

ผู้ขับขี่ ควรช่วยกันห้อยพระนี้ไว้ ในหัวใจ
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ Russal Repres นักปั่นชาวฟิลิปปินส์ ถูกรถตู้ฝ่าไฟแดงมาชนจนเสียชีวิต ระหว่างกิจกรรม Audax ๑,๐๐๐ สุวรรณภูมิ-ตราด ในขณะที่นักปั่นเลี้ยวขวาตามสัญญาณ ได้ถูกรถตู้ฝ่าสัญญาณไฟจราจร พุ่งชน และเสียชีวิตต่อมาในระหว่างที่รถกู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลบ้านโพธิ์ รถตู้คู่กรณีได้ขับหลบหนีไป
ผมอ่านข่าวนี้ด้วยความหดหู่ขีดสุด นี่ไม่ใช่เคสแรก ที่ชีวิตคน ๆ นึงต้องมาจบลงเพราะการจงใจฝ่าฝืนกฎหมายอย่างมักง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของสังคมนั้น ๆ มาก ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะต่างจังหวัดเท่านั้น ในเมืองหลวงวินัยบนท้องถนนก็แย่ไม่ต่างกัน มอไซค์ฝ่าไฟแดงกันอย่างบ้าคลั่ง (ต้องใช้คำนี้แหละ)
เลยเก็บความหดหู่ มาระบายเป็นการ์ตูน Episode นี้ครับ
๑๓. สบายดี

ด้วยความอยากเห็นคนที่เรารัก มีความสุข
เราจึงเลือกแชร์แต่ความสุข แบ่งปันชีวิตด้านที่สวยงามของเรา
และเลือกที่จะแบกด้านที่ไม่สวยงาม เอาไว้บนบ่าของเราคนเดียว
ไม่อยากให้ใคร มาทุกข์ใจไปกับเรา
ไม่อยากให้เรา เป็นภาระของพวกเขา
.
แต่บางครั้ง เราก็ลืมไปว่า คนที่รักเรา
เค้าก็เข้มแข็งพอที่จะเดินไปกับเรา แบ่งเบาสิ่งที่แบกบนบ่าเรา
หนำซ้ำกำลังใจจากพวกเขา ทำให้เราแบกสิ่งเหล่านั้นได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ
.
แต่เรากลับปิดกั้นโอกาส ที่พวกเขาจะได้เป็นฮีโร่ของเราบ้าง
กลายเป็นความเห็นแก่ตัว ที่จะเก็บตำแหน่งฮีโร่ของพวกเขา เอาไว้ที่เราเพียงฝ่ายเดียว
.
บางครั้ง เราก็ขังคนที่รักเราไว้
ให้เป็น “คนธรรมดา” ในคุกแคบ ๆ
ด้วยคำโกหกว่า “ฮีโร่” คนนี้
“สบายดี”
๑๔. ไม่ต้องเห่าไปซะทุกเรื่องก็ได้

โต้ตอบแค่บางอย่าง ให้ความสำคัญแค่บางเรื่อง
นอกนั้นแค่รับรู้ แล้ววางเฉย อนุญาตให้มันเป็นไปในแบบของมัน
โดยที่ไม่มีเราอยู่ตรงนั้นบ้างก็ได้
โพสนี้ก็ถือว่า เกินความคาดหมายเหมือนกัน เพราะแชร์ต่อกันไปถึง ๕๗๐ ครั้ง ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีทั้ง แชร์ไปด่าเพื่อน และแชร์ไว้เตือนตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าตรงจุดประสงค์ เพราะโพสนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อน แต่บางทีตรูก็เป็นเช่นกัน ๕ ๕ ๕
๑๕. ตูนตีนโต

ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกแชร์ทั้งหมด ๒,๘๗๐ ครั้ง มีคนเห็นกว่า ๔๓๐,๐๐๐ ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดของปี ๒๕๖๑ เลยทีเดียว ทั้งที่ไม่มีคำอธิบายบรรยายภาพใด ๆ ปล่อยให้ภาพมันเล่าเรื่องของมันเอง
แรงบันดาลใจของภาพนี้ คิดว่าก็คงเหมือนกับความรู้สึกของหลาย ๆ คน แม้เราจะเข้าใจดีว่า งบช่วยคนจน กับงบสาธารณสุข จะเป็นคนละก้อนกัน แต่มันก็อดอึดอัดไม่ได้ ที่เห็นการบริหารงบสาธารณสุขล้มเหลวจนพี่ตูนต้องมาวิ่งน่องโป่ง ระดมเงินจากภาคเอกชนไปช่วยโรงบาล แต่ภายหลังรัฐบาลดันมีตังค์มาแจกผู้ถือบัตรคนจนดื้อ ๆ เป็นวงเงินที่สูงกว่าที่พี่ตูนระดมทุนได้เป็นเท่าตัว ผมเชื่อว่า มันเป็นความอึดอัดในใจคนจำนวนมากที่มีต่อประสิทธิภาพในการบริหารเงินภาษีของรัฐ ที่มีต่อนโยบายโปรยเงินแบบดื้อ ๆ ผ่านเงื่อนไขบัตรคนจนยอดแย่ จนผู้คนต้องมาระบายออกด้วยการกดไลค์กดแชร์ ให้ภาพนี้พูดแทนใจพวกเขานับพันคน จนกลายเป็นโพสที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งปี

และนี่ก็คือ Top ๑๕ ลิงรู้เรื่อง ของปี ๒๕๖๑ ที่ผ่านมานะครับ หวังว่า ทุกท่านจะได้ทั้งความบันเทิง และแง่คิด มุมมองดีดี ทำให้ชีวีมีสุขมากขึ้น ซึ่งเป็นความตั้งใจหลัก ที่ผมวาดการ์ตูนลิงรู้เรื่อง ขึ้นมานะครับ
หากชอบผลงานของผม ฝากติดตาม กด See first เพจไว้จะได้ไม่พลาดโพสใหม่ ๆ ฝากบอกต่อให้มีคนรู้จักลิงรู้เรื่องมากขึ้น ฝากอุดหนุนสติ๊กเกอร์ไลน์และใช้มันบ่อย ๆ ก็จะเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงวาดต่อไปเยอะเลยครับ ^^


ชอบทุกภาพเลยลิง … โดยเฉพาะภาพสุดท้าย