สองเดือนก่อน ผมได้ไปเรียนวิชาอ่าน บาร์โค้ดชีวิต
ศาสตร์ที่ถอดรหัสเลขชีวิต จากตำแหน่งสถิตย์ของดวงดาว ณ เวลาที่เราเกิด และได้เข้าใจผลของพลังงานจากดวงดาว
ก็ขนาดน้ำในมหาสมุทร ยังขึ้น-ลง ได้จากพลังของดาว แล้วคนตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ยิ่งใหญ่มาจากไหนกันเล่า จะไม่อยู่ใต้อำนาจดาวเหล่านี้?
.
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่เราจะคุยกันวันนี้คือ
ผมไขความลับธรรมชาติข้อนึงได้
ได้รู้เหตุผลว่า
เหตุใดบางคนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
เปลี่ยนฮวงจุ้ยบ้าน
เปลี่ยนเครื่องรางของขลังแล้ว
ก็ยังไม่เห็นผล
ชีวิตก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง?
.
สาเหตุเพราะ พลังงานที่ยังหมุนเวียนในตัวเรา ยังคงอัดแน่นไปด้วยพลังงานแบบเดิม ๆ อย่างเข้มข้นเกินไป จนพลังงานใหม่ จากตัวเลข หรือ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถมีผลต่อชีวิตเราได้นั่นเอง
.
วิธีแก้ มีหลายวิธี
แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุด
มีพลังอำนาจมากที่สุด
คือการทำ มาตาปิตุ
ล้างเท้าพ่อแม่ ขออโหสิกรรม
.
ในฐานะที่ศึกษาด้านจิตใต้สำนึกมา
ผมฟังแล้วรู้เลยว่า มันคือ “กุศโลบาย” ในการสั่งจิตให้ล้างพลังงานในตัวเรา
คือการ “รีเซ็ต” ระบบพลังงานในร่างกายเรา ใหม่ทั้งหมดนั่นแหละ
.
แต่ผมเอง ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องทำ มาตาปิตุ กับพ่อแม่ผม
เพราะตั้งแต่ได้ศึกษา ศาสตร์ที่ว่าด้วยการเดินทางเข้าไปภายในจิตใจ ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อนนั้น
ผมเองก็ได้ค้นพบ “ปม” ที่เรายังผูกติดกับพ่อแม่มากมาย และก็ได้ไปทำการคลายปมเหล่านั้น ทุกครั้งที่ได้ค้นพบ จนคิดว่า ไม่มีอะไรติดค้างกับพ่อแม่แล้ว พร้อมที่จะตายจากกันอย่างสงบ ไม่มีอะไรเสียใจ ที่ยังไม่ได้ทำให้กันและกัน
.
แต่ครั้งนี้
คงต้องขอบคุณภรรยาผม ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้
หม่าม้าภรรยาผม อยู่ที่ฮ่องกง
หลังจากที่ภรรยาผม ได้ฟังเรื่องมาตาปิตุ ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไปหาแม่ที่ฮ่องกง และขอล้างเท้าหม่าม้าทันที
“โชคดี ที่ยังมีหม่าม้าอยู่ ให้ทำได้”
.
แล้วผมก็ได้เห็นบทสนทนาอันทรงพลัง
การพูดสิ่งที่เราไม่พอใจในอดีตออกไปตรง ๆ
บนความตั้งใจที่จะปลดปล่อยมัน
และขออโหสิกรรม ไม่ให้มีอะไรติดใจต่อกันนั้น
มันเป็นบทสนทนาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ที่มนุษย์จะมีให้กันและกันได้
โดยเฉพาะมนุษย์ในครอบครัวเดียวกัน
เพราะยิ่งสนิทและรักกันเท่าไร
มันก็ยิ่งยากมากเท่านั้น
ที่เราจะพูดถึงความคิดที่ร้ายกาจที่เรามีต่อเขา
.
ผมตัดสินใจทันทีว่า
จะกลับมาล้างเท้าให้พ่อกับแม่บ้าง
โชคดีแค่ไหนที่เรายังมีทั้งพ่อและแม่อยู่
แถมไม่ต้องบินไปประเทศอื่นด้วยซ้ำ
ทำไมถึงจะไม่ทำ?
.
แต่ก็เป็นธรรมดาแหละครับ
ที่เราจะมีความเคอะเขินบ้าง
เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน
ผมทำให้มันเรียบง่าย
โดยบอกพ่อกับแม่ว่า
เดี๋ยวกินข้าวเสร็จขอทำพิธีมาตาปิตุ
ล้างเท้าให้พ่อกับแม่นะ
เพื่อเป็นการอโหสิกรรมให้กันและกัน
จะขออนุญาตพูดถึงสิ่งที่ไม่พอใจในอดีตด้วย
ผมอยากทำสิ่งนี้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
ไม่ใช่ตายจากกันแล้วค่อยเคาะโลงบอก
.
ผมก็ไปเตรียมอ่าง มาวางที่โซฟา
เสร็จแล้วก็เรียกพ่อกับแม่มานั่ง
มันควรจะเรียบง่ายแค่นั้น
.
แต่ทันทีที่มือผมจุ่มลงไปในอ่างน้ำ
แล้วสัมผัสกับเท้าของแม่นั้น
ผมได้รับประสบการณ์ที่
ถ้าเราไม่ลงมือทำเอง ก็ไม่มีวันรู้แน่นอน
จู่ ๆ ความรู้สึกผมเฮฮา ปาจิงโกะผม ก็เปลี่ยนไป
กลายเป็นความรู้สึกอันมหาศาล
ขึ้นมาจุกในอก จนพูดอะไรไม่ออก
สคริปต์ที่เตรียมมา ลืมหายไปหมด
.
แล้วผมก็พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า
ขอบคุณที่เลี้ยงผมมาเป็นอย่างดี
ผมรู้ว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีเงินมาก
แต่ก็ยังดิ้นรน ให้ผมได้เรียนโรงเรียนดี ๆ
ค่าเทอมแพง ๆ ตั้งแต่ยังเด็ก
ผมรู้ดีว่ามันยากและหนักหนาขนาดไหน
.
พ่อกับแม่ก็เลยมีโอกาสได้เล่าบ้างว่า
เขาต้องเลือกให้เราไปอยู่โรงเรียนอื่น
ไม่ใช่โรงเรียนที่เขาสอน
ไม่งั้นเราจะมีอภิสิทธิ์กว่าเด็กคนอื่น ๆ แน่นอน
แล้วเขาก็ไม่ได้เลี้ยงเรากันแค่สองคน
ถ้าไม่มีญาติพี่น้อง คนนั้น คนนี้ คอยช่วยเหลือ
คอยสนับสนุนด้านการเงินบ้าง
เขาก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
.
และไม่น่าเชื่อครับ
ว่ามันยังคงมีบางเหตุการณ์คาใจ
ที่ผุดขึ้นมาใหม่ได้อีก ทั้งที่เราคิดว่า
เราเคยพูดปมที่ไม่พอใจไปหมดแล้วแท้ ๆ
จิตมนุษย์มันช่างมหัศจรรย์
ลึกเกินจะหยั่งรู้ได้จริง ๆ
.
การล้างเท้าพ่อแม่นั้น
เป็นเพียงกุศโลบายจริง ๆ ครับ
เป็นสัญลักษณ์ที่ออกแบบมา
ให้เราได้ไปอยู่ในสภาวะ “ศิโรราบ”
การเอามือเรา
ไปสัมผัสกับส่วนที่ต่ำสุดของพ่อแม่
เป็นสัญลักษณ์ที่บอกจิตใต้สำนึก
ให้รับรู้ว่าเราศิโรราบกับคน ๆ นี้
เราให้อภัยเขาทุกอย่าง
ไม่มีอะไรติดค้างคาใจกับเขาอีกต่อไป
ดังนั้นสิ่งที่ยังติดอยู่ในจิตใต้สำนึกขั้นลึก
ที่สมองไม่สามารถนึกถึงได้
จึงสามารถผุดขึ้นมาให้เห็น
ตอนที่เราสัมผัสกับเท้าพ่อแม่นั้นเอง
.
การมีโอกาสได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้
ให้พ่อกับแม่ฟัง และได้ขอขมา
ขออโหสิกรรมต่อกัน
มันจึงเป็นการล้างพลังงานลบ
ที่สะสม หมักหมม อยู่ในส่วนลึกของจิตเรา
การอโหสิกรรมให้กันและกันนั้น
ก็เป็นพลังงานแห่งความเมตตา
ที่มีอานุภาพมหาศาลที่สุดรูปแบบหนึ่ง
.
วันนี้ จิตของผมได้ถูกบำบัด
ชำระล้างพลังงานลบในระดับลึก
ผ่านพิธีมาตาปิตุนี้
ทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำ
ว่าผมก็ยังมีส่วนที่ต้องถูกบำบัด
ทั้ง ๆ ที่ปกติ ก็เป็นผู้ที่ให้การบำบัด
แก่ผู้คนมากมาย
.
ผมจึงได้เรียนรู้ และเติบโตขึ้นไปอีกว่า
กับดักของคนระดับโค้ช ระดับคนที่สอนคนอื่นได้แล้ว
มักจะเป็นการหยุดพัฒนาตน
ด้วยการขึ้นไปอยู่บนหอคอยงาช้างแบบถาวร
เพื่อบัญชาการในภาพใหญ่อย่างเดียว
จนลืมที่จะกลับลงมาเป็นผู้เล่นในสนามเองบ้าง
ทั้ง ๆ ที่เราก็สอนคนอื่นอยู่เสมอว่า
ถ้าไม่กระโดดลงน้ำ
ไปสำลักน้ำเสียบ้าง
ก็ไม่มีทางว่ายน้ำเป็น