๑๔-๑๕ กุมภา วันวาเลนไทน์ ๒๕๖๒
ผมได้มามอบความรักให้กับเพื่อนมนุษย์ที่นี่อีกครั้ง
ณ เรือนจำคลองเปรม
จากสัปดาห์ที่แล้ว ที่ได้เข้ามาบรรยายเป็นครั้งแรก กับเพื่อน ๆ นักจิตบำบัด พอคุยกับ จนท.ว่า ในโปรแกรมฟื้นฟูนักโทษ ก่อนพ้นโทษกลับคืนสู่สังคมนั้น ต้องการเนื้อหาประมาณไหนอีกบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่า ความรู้ที่เกี่ยวกับอาชีพ เพื่อให้เขาสามารถออกไปประกอบอาชีพได้ และไม่กลับเข้ามาอีก
.
ผมจึงได้อาสา ใช้ความรู้ด้าน การค้นหาอัจฉริยภาพในตัวเอง เข้ามาสอนพวกเขา ซึ่ง จนท.ก็ยินดีเป็นอย่างมาก
.
วันแรกผมถามว่า
“ใครคิดว่าตัวเอง ไม่ใช่อัจฉริยะบ้าง?”
เกือบ 90% ยกมือ
ผมบอกพวกเขาทันทีว่า
ภายในพรุ่งนี้ คุณจะรู้ว่า
คุณนั่นแหละ อัจฉริยะ!
.
นอกจากความสนุกสนาน ในการแบ่งกลุ่ม ทำความรู้จักพลังงานแต่ละประเภท ที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์ มีความแตกต่างกันนั้น ผมได้สอดแทรกแรงบันดาลใจไว้เป็นระยะ ว่าพวกเขาเก่งในแบบของเขา พวกเขาไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนทั่วไปเลย
ผมนำเรื่องราวของผู้คนมากมาย ที่เป็นคนพิการ ที่โดนคนอื่นดูถูก แต่กลับมีหัวใจอันยิ่งใหญ่ จนทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ มาแบ่งปันสร้างแรงบันดาลใจกับพวกเขา ตลอดการเรียนรู้ สลับกับเวิร์คชอป เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
.
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก ๆ มีสามเรื่อง
.
เรื่องแรก พวกเขาสามารถรู้จักความถนัดของตัวเอง จนอธิบายได้ว่า จุดแข็งของตนคืออะไร จุดอ่อนของตนคืออะไร และหากจะออกไปประกอบอาชีพ จะต้องมองหาคนที่มีจุดแข็งแบบไหน เข้ามาอุดจุดอ่อนที่ตนไม่มี เพื่อให้กิจการงานนั้น ๆ ดำเนินไปได้
การที่เขาเข้าใจตนเองมากขึ้นนั้น ทำให้เขาเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นด้วย ผมชอบตอนที่คนพูดเก่งออกมาพูดว่า จุดอ่อนของเขาคือ ฉันจะพูดฉันก็พูด โดยไม่สนใจเลยว่า คนฟังเขาอยากฟังไหม ซึ่งกลุ่มคนที่ไม่ถนัดพูด ที่เป็นอัจฉริยะในด้านตรงข้ามกับพวกเขา ก็นั่งพยักหน้าหงึก ๆ แต่ทั้งสองฝั่งด้านตรงข้ามกัน ก็ได้เข้าใจธรรมชาติของกันและกันมากขึ้นแล้ว
เรื่องที่สองคือ ตอนผมถามอีกครั้งก่อนจบวันที่สองว่า
“ใครเชื่อแล้วบ้าง ว่าตัวเองคืออัจฉริยะ?”
ทุกคนยกมือ พร้อมกับรอยยิ้ม และความมั่นใจในแววตา
ตลอดสองวัน เขาได้เห็นแล้วว่า คนที่ด้อยกว่าเขา ก็ยังสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นบนโลกได้ด้วยสองมือตัวเอง แล้วยิ่งเขาได้รู้จักพลังงานในตัวเขา ที่ทำให้เขาทำงานบางอย่างได้ โดยที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ ไม่ต้องใช้ความพยายามแยะ เท่าคนอื่น ๆ
เขาได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเขาคืออัจฉริยะ ในด้านการสร้างสรรค์สิ่งใหม่, ในด้านการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คน, ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและจับจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อตัดสินใจ, ในด้านความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ยึดกฎระเบียบ ทำงานตามระบบ
พอตระหนักสิ่งเหล่านี้ เขาก็เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น และหันกลับมารักตัวเองได้ ในแบบที่ตัวเองเก่ง และเป็นอัจฉริยะในแบบของเขา ที่ไม่ต้องเหมือนใคร
.
ผมเสริมวิธีเลือกอาชีพด้วยหลัก IKIGAI ของญี่ปุ่น แต่อธิบายในแบบที่จะเข้าใจง่าย ๆ ทำตามได้ง่าย โดยเริ่มจากสิ่งที่รักก่อน แล้วพัฒนาทักษะจนเป็นความถนัด และเริ่มขายให้เป็นจนมีคนยอมจ่ายเงินให้ จากนั้นทำให้โลกเห็นว่าสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไร จนกลายเป็นสิ่งที่โลกต้องการได้ในที่สุด ถ้ามีครบทุกข้อ นี่คือ อิคิไก หรือ คุณค่าของการมีชีวิตอยู่
.
จบ Session นี้ หลายคนเดินมาคุยกับผมว่า ออกไปเขาจะทำ Homestay, จะฝึกภาษาอังกฤษเพื่อเป็นไกด์นำเที่ยวในจังหวัดบ้านเกิด, เป็นนักแข่งรถ ฯลฯ
ได้ยินแค่นี้ก็ถือว่า
ผมได้รางวัลใหญ่จากการเข้ามาบรรยายที่นี่แล้วครับ
.
เรื่องสุดท้ายที่ผมประทับใจที่สุด คือ วันแรกผมถามเขาว่า
“คิดว่าตัวเองมีโอกาสกี่ %
ในการทำความผิดซ้ำ
จนต้องกลับเข้ามาเรือนจำอีก?”
ส่วนใหญ่ก็บอก มั่นใจว่าไม่กลับมาอีกแน่นอน ๑๐๐% แต่ยังมีบางคนที่ตอบ ๕% ๑๐% ๕๐% บ้าง ถามว่าเพราะอะไร คำตอบคือ “สภาพแวดล้อม อาจทำให้เราผิดพลาดอีกครั้ง”
ผมจึงได้ทำการบ้าน และกลับมาในวันที่สอง กับบทสนทนาที่พาเขาลงไปค้นในเบื้องลึกของจิตใจ ว่าอะไรกันแน่ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา?
.
ผมเริ่มถามว่า “ความมั่งคั่ง” สำหรับคุณ มันคืออะไร?
ส่วนใหญ่ตอบว่า เงินทอง บ้าน รถ ทรัพย์สิน
ผมจึงชี้ให้เห็นว่า เพราะคุณรักครอบครัว
อยากให้ตัวคุณ ครอบครัวคุณสบาย จึงต้องการความมั่งคั่ง
ทุกคนตอบว่าใช่เลย!
เพราะความมั่งคั่งของคุณคือสิ่งเหล่านั้นไง
คุณถึงยอม “เสี่ยง” ที่จะใช้ “ทางลัด” เพื่อได้มันมา
ยอมเสี่ยง ที่จะขายยาเสพติด
เพื่อที่จะลดเวลาจาก ๒๐ ปี
ให้เหลือเพียงไม่กี่เดือน
เพื่อความมั่งคั่งแบบนั้น
คุณคิดว่า ถ้า “ไม่โดนจับ”
มันก็ “คุ้ม” !!!
ทุกคนพยักหน้า และสีหน้าเริ่มถอดสี
เมื่อเห็นว่าที่ผ่านมาตัวเองพลาดเพราะอะไร
.
ผมชี้ให้เห็นว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริง คือ
การเป็นเจ้าของ “เวลา” ในชีวิตตนเองต่างหาก
ไม่มีประโยชน์
หากคุณมีเงินล้นฟ้า แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน
หากมีรถสวย แต่ไม่มีเวลาขับรถไปได้ตามใจ
หากมีบ้านใหญ่ แต่ไม่มีเวลาเชยชมบ้านตัวเอง
คุณไม่มี “อิสระ”
ที่จะใช้ “เวลา” ของชีวิตคุณ
ตามความต้องการของตัวเอง
แบบนี้ยังเรียกว่าตัวเอง “มั่งคั่ง” อยู่หรือไม่?
.
ถึงตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า
สิ่งที่อยู่เหนือ เงินทอง ความร่ำรวย
คือ “อิสระ” ที่จะใช้เงิน ใช้เวลา ใช้สองขา
เดินทางไปยังที่ที่อยากจะไป ได้ตามใจตนต่างหาก
ผมถามอีกครั้งว่า ถ้ามีโอกาสจะได้ “เงิน” ก้อนใหญ่
แต่เสี่ยงที่จะต้องแลกด้วย “อิสรภาพ” ของเรา
จะแลกอีกไหม?
ตอนนี้ทุกคนตอบได้แล้วว่า
ให้ตายก็ไม่กลับเข้ามาอีกครั้งแน่นอน!!!
.
.
และนี่คือ “ความรัก” ที่ผมนำมามอบให้กับเพื่อนมนุษย์กว่า ๘๐ ชีวิต ในวันวาเลนไทน์ปีนี้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ และขอให้คุณใช้อิสรภาพที่คุณมี ให้เต็มที่ ใช้ความเป็นอัจฉริยะของคุณให้คุ้มค่า ในขณะที่คุณมีโอกาสและความพร้อมมากกว่าอีกหลาย ๆ คนนะครับ
สุดยอดเลยค่ะพี่เติร์ด เขียนแชร์ดีมากเหมือนเคย และมันคุ้มค่ามากที่พวกเขาพลิกจากไม่เชื่อมั่นในตนเอง แถมยังคิดว่าจะทำผิดพลาดและกลับเข้าไปเรือนจำอีกครั้ง เป็นค้นพบตัวเองและมีความหลงใหลกับอาชีพที่จะทำหลังจากออกมาได้ ขอบคุณพี่เติร์ดมากค่ะที่ทำให้สังคมดีขึ้น
เยี่ยมเลยคะ มันเป็นการสืบค้นไปหาความต้องการที่แท้จริง และพวกเค้าจะจำไม่ลืมตลอดชีวิต….ขอบคุณความรักที่ยิ่งใหญ่ที่เติร์ดเป็น