สิ่งที่ อีจุน กับ หัวหน้าฮง สอนผมใน EP.15 นี้คือ
“คนเรามีวิธีรับมือกับความรู้สึกได้ไม่เท่ากัน”
อีจุนเห็นพ่อกับแม่ที่หย่าร้างกันไป มาคืนดีกัน แล้วนิ่งเงียบ ขอไปเล่นที่บ้านเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กว่าพ่อแม่จะรู้ว่าผิดปกติก็ตอนโทรไปบ้านเพื่อน แล้วถึงได้รู้ว่าอีจุนไม่ได้มาเล่นกับเพื่อนตามที่บอก
เด็กเก้าขวบ ที่ต้องพยายามเข้มแข็งตั้งแต่ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน เพราะหากตนร้องไห้พ่อกับแม่จะเจ็บปวด จึงพยายามเป็นคนที่เข้มแข็งตลอดมา วันเกิดตนทุกปี พ่อกับแม่จะมากินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ต้องข่มน้ำตาเอาไว้ภายใต้ใบหน้าของเด็กที่โตเกินวัย พยายามเข้าใจความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ จนไม่กล้าบอกออกไป ว่าอยากกินข้าวพร้อมหน้าแบบนี้ทุกวัน ไม่ใช่แค่วันเกิดปีละครั้ง
แม้พ่อกับแม่จะกลับมาคืนดีกันแล้ว ความดีใจมันดันจากภายในขึ้นมาจนจุกอกจนน้ำตาจะไหล แต่อีจุนไม่เข้าใจ หลงคิดไปว่าหากร้องไห้จะทำร้ายพ่อกับแม่ จึงหนีออกมาร้องไห้คนเดียว
หัวหน้าฮง เหมือนเป็นอีจุนอีกคนในร่างผู้ใหญ่ เขาเติบโตมาด้วยตัวคนเดียว จึงต้องเข้มแข็งเท่านั้น เพราะเขาไม่อยากเป็นภาระของใคร จึงเลือกที่จะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง ไม่ต่างอะไรกับที่อีจุนสร้างตัวตนที่โตเกินวัยขึ้นมา เพื่อควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ปิดบังความทุกข์ ความเศร้าของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ต้องมีใครมาเป็นห่วงตน
หลังจากที่หนังเฉลยปมของหัวหน้าฮงออกมา หลายคนอาจคิดเหมือนผมว่า ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ตัวเองก็ไม่ได้ผิดอะไร ทำไมต้องปิดบังขนาดนั้น ทำเป็นเรื่องที่บอกใครไม่ได้ งี่เง่าเกินเบอร์ โอเวอร์เล่นใหญ่เกินเหตุ ขนาดมีแฟนที่พร้อมเปิดใจรับฟังยังไม่ยอมเล่า ทั้ง ๆ ที่เรื่องก็แค่นี้เอง
ก็เหมือนที่อีจุนไม่กล้าเผยน้ำตาแห่งความดีใจ ที่พ่อแม่คืนดีกันนั่นแหละ ที่หลายคนคงคิดว่า อะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง
“เรื่องแค่นี้เอง” นี่แหละครับ
ต้นเหตุแห่งปัญหาความขัดแย้งทั่วโลก
เราพูดว่า “แค่นี้เอง”
เพราะเรามีคำตอบว่า “ถ้าเป็นฉันนะ”
จะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่าย ๆ เลย
นี่คือ Moment ที่เรากำลังไร้ซึ่ง Empathy ที่สุด
เต็มไปด้วยอีโก้แห่งตัวฉัน
และไม่มีความเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่คนอื่นกำลังรับมือ
คุณลองนึกภาพ
เราอกหัก แล้วเพื่อนมาบอก ร้องไห้ทำไม เรื่องแค่นี้ ไกลหัวใจ ฮึบดิวะ
เราเจอโควิดยอดขายหายหมดแต่ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม แล้วเพื่อนมาปลอบว่า ต้นทุนมึงสูงไป ธุรกิจมึงก็ไม่ล้ำ ทำไมไม่มาทำออนไลน์แบบกู โควิดมาก็อยู่ได้สบาย
เราเป็นซึมเศร้า แล้วเพื่อนมาบอก เรื่องแค่นี้เอง อย่าคิดมากดิมึง ลองปฏิบัติธรรมแบบกูสิ
ถ้าเราเป็นคนถูกกระทำ เราจะเห็นได้ง่ายเลยใช่ไหม ว่าความเมตตานั้นมีคุณค่าขนาดไหน มีให้ฉันสักนิดไม่ได้หรือไง พยายามเข้าใจฉันสักนิดได้ไหม ว่าฉันก็มีประสบการณ์มาแค่นี้ รับมือกับเรื่องนี้ได้เท่านี้ อาจจะดีไม่พอในสายตาเธอ แต่ช่วยโอบกอดฉันก่อนจะตำหนิฉันไม่ได้เหรอ?
เมื่อคิดได้ดังนี้
ผมค่อย ๆ คลายการตัดสินว่าหัวหน้าฮงงี่เง่า เยอะเกินเบอร์ แล้วค่อย ๆ ลองสวมรองเท้าหัวหน้าฮง
ผมจึงได้เริ่มมองเห็นเด็กคนนึง ที่เคยได้ยินคนพูดว่าตนเป็นตัวโชคร้ายในงานศพของปู่ตัวเอง โตมาดันมาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลุงคนนึง ต้องมาล้มละลายหมดเนื้อหมดตัว แถมรุ่นพี่คนสนิทเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ต้องมาตายไป เพราะพยายามช่วยเหลือตัวเรา
มันคงไม่แปลก หากเด็กคนนั้นจะยังคงเชื่อว่า ตนคือเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้าย ใครมาอยู่ใกล้ชิดตนก็ต้องพบกับความฉิบหายครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งเกิดขึ้น ก็ยิ่งเป็นหลักฐานที่ทำให้ความเชื่อว่าเราเป็นตัวโชคร้าย มันจริงขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกของเขา
และคงไม่ง่ายเลย เมื่อต้องเห็นลูกชายลุงคนนั้นโกรธด้วยเจ็บปวด เมื่อต้องเห็นภรรยาของรุ่นพี่คนนั้นอยากตายตามสามีไป
ผมว่ามันไม่ใช่ความอ่อนแอนะ
หัวใจที่อ่อนโยนดวงนั้น รับความผิดทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเองอย่างกล้าหาญเสียด้วยซ้ำ หากตนไม่แนะนำลุง ลุงก็คงไม่หมดตัว หากตนขับรถไปเองไหว รุ่นพี่ก็คงไม่ต้องมาตาย
“หากฉันไม่อยู่ตรงนั้น หากพวกเขาไม่เจอฉัน พวกเขาคงไม่เป็นแบบนี้”
และแน่นอนว่า แนวความคิดนี้ นำพาให้เขาเกือบจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง เพื่อไม่ให้ต้องมีใครเดือดร้อนอีก
คนเรายิ่งทำตัวงี่เง่ามากเท่าไร
แปลว่าเขาต้องการความรักความเข้าใจมากเท่านั้น
ยิ่งตัวเราเห็นคนอื่นงี่เง่ามากเท่าไร
แปลว่าเรากำลังขาด Empathy มากเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ EP นี้สอนผม
กับแว้บแรกที่มองหัวหน้าฮงงี่เง่าเหลือเกินกับเรื่องแค่นี้ แต่หลังจากพยายามเข้าใจ ผมกลับร้องไห้ไปกับสิ่งที่เขาเจอ
ไม่ใช่เรื่องการสื่อสารการจัดการที่ผิดพลาดจนลุงล้มละลาย หรือเรื่องอุบัติเหตุของพี่ชายเขา
แต่ผมสะเทือนใจไปกับวิธีที่เขามองโลก
วิธีที่เขารับมือกับความรู้สึกของตัวเอง
ทั้งอีจุนและหัวหน้าฮง ก็เป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับคู่มือการใช้ชีวิต ที่กำลังพยายามจะมีชีวิตต่อไปโดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน เสียใจ เพราะเขาเป็นต้นเหตุ
แต่ประสบการณ์ที่เขาเจอมา ทำให้เขามีเครื่องมือทางความคิดเพียงเท่านี้ในการรับมือจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง
ก็คงเหมือนตัวเราในหลาย ๆ ครั้ง ที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง
อย่างน้อยที่สุดที่เราต้องการในวินาทีนั้น คือใครสักคนที่เข้าใจ ว่าถึงแม้มันอาจไม่ดีพอในสายตาใคร แต่เราก็พยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุดแล้วจริง ๆ นะ
แล้วตัวเราล่ะ
อยากจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยแบบนั้นให้ใครบางคนไหม
หรืออยากเป็นพื้นที่อันตราย
ที่ใครมาเจอเราก็รู้สึกด้อยค่า น้อยเนื้อต่ำใจ
หมดกำลังใจจะใช้ชีวิตของเขา
It’s our choice, always